ทะลุเอกมัย

ก่อนผับบาร์และร้านกาแฟจะเข้ามาจับจองพื้นที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามารู้จักเอกมัยในฐานะย่านเที่ยว เดิมเอกมัยก็เป็นย่านชุมชนบรรยากาศน่าอยู่ที่คนคุ้นเคยกันดีและผ่านกันเป็นประจำอยู่แล้ว

แจ่มจันทร์ เจริญสุข เจริญใจ และอีกหลายซอยชื่อเพราะบนถนนเอกมัยเหล่านี้ เป็นทางสัญจรที่คนใช้ทะลุลัดถนนสายหลักมาหลายสิบปี ย่นระยะเวลาเดินทางบนถนนทั้งจากคลองตันสู่สุขุมวิท และจากเพชรบุรีสู่พระโขนง เชื่อมให้คนในย่านไปมาหาสู่กันได้สะดวกด้วยโครงข่ายซอยลัด

คนแถบนี้มุดปรีดีออกเอกมัยไปทองหล่อต่อซอยกลาง จนทางผ่านก็เริ่มกลายเป็นจุดแวะและเปลี่ยนเป็นจุดหมาย เริ่มมีร้านรวงทยอยกันผุดขึ้นตามซอกซอยต่างๆ ทั่วย่านเอกมัย เปลี่ยนบ้านแปลงตึกเก่าให้ทันสมัย (หรือบ้างก็ทำของที่ใหม่ให้กลายเป็นเก่าวินเทจ) จนเอกมัยกลายเป็นย่านแฮงค์เอาท์บรรยากาศสนุกที่เต็มไปด้วยมุมน่าสนใจ และในบางวันที่อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ เอกมัยก็จะกลายเป็นย่านน่าเดินช้อปเดินชิมที่ร้านรวงแต่ละแห่งอยู่ห่างกันแค่ระยะเดินถึง

เอกมัย

เมื่อเทียบกับถนนพี่น้องที่ขนานคู่กันอยู่อย่างทองหล่อ ที่ทุกวันนี้แน่นขนัดไปด้วยตึกสูงตลอดเส้นตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย บรรยากาศของถนนเอกมัยอาจดูบ้านๆ กว่านิด และย้อนยุคกว่าหน่อย ด้วยร้านตึกแถวที่บริหารกันแบบครอบครัว บ้านรั้วชิดที่ยังเกาะกลุ่มกันเป็นหมู่ ต้นไม้ใหญ่ที่ยังถูกรักษาไว้เป็นร่มเงาให้กับคนในย่าน และร้านเจ้าเก่าดั้งเดิมที่เปิดขายมานับสิบๆ ปี เคียงคู่เป็นเพื่อนบ้านกับร้านสมัยใหม่ เป็นบรรยากาศเฉพาะตัวไม่เหมือนย่านไหนๆ ที่เราอยากชวนให้ลองมามุดซอกทะลุซอยเดินสำรวจร้านรวงทั้งเก่าและใหม่ที่น่าสนใจบนถนนสายนี้กัน

— Cafés & Sweets —

Ink & Lion

จากปากซอยเอกมัยฝั่งสุขุมวิทเดินเข้ามาไม่ไกลนักก็จะเจอเวิ้งเล็กๆ ที่มีร้านกาแฟในสไตล์ Craft Café เท่ๆ ขรึมๆ ตั้งอยู่ คาเฟ่แห่งนี้ใส่ใจรายละเอียดตั้งแต่การตกแต่งไปจนถึงการคัดสรรเมล็ดกาแฟเลยทีเดียวล่ะ คำว่า “Ink” นั้นแปลว่าน้ำหมึกซึ่งมีสีดำเหมือนกับสีของกาแฟ อีกนัยหนึ่งก็คือหมึกที่ใช้วาดสร้างงานศิลปะขึ้นมาได้ ซึ่งเจ้าของร้านก็เป็นคนชื่นชอบกาแฟและศิลปะด้วยนั่นเอง ส่วนคำว่า “Lion” นั้นก็แปลว่าสิงโตซึ่งมาจากสัญลักษณ์บนเครื่องชงกาแฟที่ทางร้านใช้ นี่จึงเป็นที่มาของการผสมผสานกันของต่างที่มาแต่เมื่อมาผสมกันแล้วกลับกลายเป็นความลงตัวที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ตัวร้านนั้นจะว่าไปแล้วตกแต่งในสไตล์ Modern Industrial ที่มีงานเล็กดิบๆ ผสมงานไม้หยาบๆ แต่ตกแต่งออกมาได้เท่ลงตัว จุดเด่นอีกอย่างก็คือรายละเอียดของงานดีไซน์ที่แทรกตัวอยู่ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ตลอดจนของตกแต่งหลายชิ้นนั้นออกแบบโดยเจ้าของร้านเองทั้งสิ้น


Ink & Lion นั้นถือว่าเป็นร้านกาแฟที่ใส่ใจคุณภาพของเครื่องดื่มทุกแก้วอย่างพิถีพิถัน เจ้าของร้านที่หลงใหลในกาแฟตั้งแต่ไปเรียนอยู่ที่อเมริกานั้นต่างก็เคยฝึกงานในร้านกาแฟเจ๋งๆ รวมถึงเคยลงคอร์สเรียนการทำกาแฟอย่างเป็นจริงเป็นจังมาแล้วก่อนที่จะกลับมาเปิดร้านกาแฟของตัวเองที่เมืองไทย เมนูหลักของร้านนั้นก็คือกาแฟที่มีให้เลือกหลากหลายสายพันธุ์ตามแต่คอกาแฟจะชอบ รวมถึงเมล็ดกาแฟที่สั่งเบลนด์ในสูตรพิเศษเฉพาะตัวที่เป็น Signature ของทางร้านด้วย ทีเด็ดในเรื่องกาแฟอีกอย่างก็คือ Slow Bar ที่เป็นกาแฟแบบ Hand Drip ทำมือล้วนๆ ได้กาแฟดำที่มีกลิ่นหอมกรุ่นรสชาติเยี่ยม เอกลักษณ์น่าลองของที่นี่อีกอย่างก็คือเบเกอร์รี่ไซส์มินิซึ่งทางร้านผูกพันธมิตรกับร้าน Size S Coffee & Bakery เสิร์ฟขนมขนาดเล็กกำลังพอเหมาะ เหมาะที่จะทานกับเมนูกาแฟได้อร่อยลงตัวพอดี


เอกลักษณ์เด่นอีกอย่างของ Ink & Lion ก็คือการเป็น Art Gallery ไปในตัว โดยผนังร้านนั้นจะเป็นพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะไปพร้อมกันด้วย ที่สำคัญร้านนี้มีศิลปินฝีมือเยี่ยมทั้งในและต่างประเทศต่างต่อคิวรอแสดงนิทรรศการกันตลอดทั้งปี ซึ่งทางร้านจะคัดสรรศิลปินที่มีผลงานน่าสนใจมาจัดแสดงหมุนเวียนไปเรื่อยๆ อีกด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ส.-พ. 09.00-18.00 น. (หยุดวันพฤหัส กับ ศุกร์)

Location: 1/7 ซ.เอกมัย 2 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 | 091-559-0994
www.facebook.com/inkandlioncafe

[su_gmap width=”1600″ address=”Ink & Lion”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

One Ounce for Onion

ซอยเอกมัย 12 แต่เดิมเป็นเพียงซอยเล็กๆ ที่ลัดเลาะไปสู่ย่านคลองตัน หรือพระโขนงได้ แต่ปัจจุบันขยายเป็นถนนที่กว้างขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกในการสัญจร แต่ถึงอย่างนั้นเสน่ห์ในซอย 12 ก็ยังคงเดิม เต็มไปด้วยร้านดีๆ ที่ซ่อนตัวอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือคอนเซ็ปต์เก๋ที่เป็นแหล่งรวมตัวของคาเฟ่เท่ๆ ผสมร้านแฟชั่นชิคๆ และโรงคั่วกาแฟเจ๋งๆ ที่เป็นความต่างแต่มารวมกันอย่างลงตัว


ของเหลวปริมาตร 1 ออนซ์นี้เกิดจากการไหลมารวมตัวกันของเพื่อน 4 คนที่สนใจแตกต่างกันแต่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้ โดย Community Space เล็กๆ แต่มีเสน่ห์นี้เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของความหลากหลาย ตัวร้านตกแต่งในสไตล์ Rustic Loft ที่มีกลิ่นอายของความดิบแต่เท่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ในร้านเลยประกอบไปด้วยโซนของ Onion ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่ย้ายมาจากสยามแสควร์ เปิดตัวใหม่เป็น Fashion Store เล็กๆ เก๋ๆ ที่อยู่ร่วมกับ One Ounce คาเฟ่ขนาดกระทัดรัดน่านั่งที่เสิร์ฟกาแฟอร่อยๆ พร้อมเมนูง่ายๆ ในสไตล์โฮมเมด ส่วนด้านหลังร้านนั้นเป็นโรงคั่วกาแฟขนาดเล็กของแบรนด์ Brave Roasters ของนักคั่วกาแฟมือดีอันดับต้นๆ ของไทยที่หลายคนรู้จักกันดี ซึ่งกาแฟที่เสิร์ฟใน One Ounce ก็เป็นกาแฟของ Brave Roasters ด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: จ.-ส. 09.00-20.00 น. / อา. 11.00-21.00 น.

Location: 19/12 ซ.เอกมัย 12 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 |02-116-6076, 086-388-3303
www.facebook.com/oneounceforonion

[su_gmap width=”1600″ address=”one ounce for onion, ekkamai”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

— Restaurants —

FABLAB Café

เทรนด์ที่กำลังนิยมตามเมืองใหญ่ (โดยเฉพาะเมืองแฟชั่น) ทั่วโลกก็คือการที่แบรนด์แฟชั่นต่างๆ หันมาเปิดคาเฟ่เป็นของตัวเองและตั้งผสมกลมกลืนอยู่ในร้านเดียวกันเพื่อให้เกิดไลฟ์สไตล์ Shopping & Hang Out ขึ้น ในย่านเอกมัยเองก็มีร้านน่าสนใจในลักษณะนี้เช่นกัน โดย FABLAB หนึ่งในแบรนด์แฟชั่นของไทยที่หลายคนรู้จักกันดีหันมาเปิดตัวคาเฟ่ในคอนเซ็ปต์ Multi-Brand Fashion Store & Café ขึ้น ตัวร้านนั้นอยู่บนถนนสายหลักช่วงท้ายซอยเอกมัยฝั่งที่จะทะลุไปถนนเพชรบุรีตัดใหม่ได้ แล้วก็อยู่ในโซนแหล่งโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ตลอดจนของตกแต่งบ้านเก๋ๆ เท่ๆ หลายร้านที่ทำให้บรรยากาศร้านนั้นดูดีตามไปด้วย


FABLAB เดิมทีเป็นร้านที่ขายเสื้อผ้าแฟชั่นแบบผสมผสานหลายแบรนด์ในร้านเดียวซึ่งมีทั้งผลงานของดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ แบรนด์ออนไลน์ที่น่าจับตา ไปจนถึงผลงานจากดีไซน์เนอร์ของ FABLAB เอง ซึ่งคอนเซปต์ที่เป็นตัวตนของแบรนด์นี้ก็ถูกนำมาผสมผสานในคาเฟ่บริเวณชั้น 2 เพื่อเป็นแหล่งช้อปในรูปแบบ Multi-Designer House ที่รวบรวมผลงานจากดีไซน์เนอร์เก๋ๆ หลายคนไว้ในที่เดียว


ส่วนชั้น 1 ของร้านก็คือคาเฟ่ที่เก๋ไม่แพ้แบรนด์เสื้อผ้าซึ่งทางร้านตกแต่งให้มีเสน่ห์ของความเรียบเท่ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว สำหรับตำรับอาหารที่นี่เสิร์ฟความอร่อยในแบบ Comfort Food ที่เน้นเมนูปรุงง่ายแต่พิถีพิถันแล้วก็ยังมีความอร่อยสดใหม่เฉพาะตัว แต่สิ่งที่โดดเด่นก็คือการผสานเมนูอร่อยที่ทางร้านรวบรวมจากหลากหลายแบรนด์ดังมาไว้ในลิสต์เดียวตามคอนเซ็ปต์ Multi-Brand Menu เพื่อให้สอดคล้องกับธีมหลักของร้านด้วย โดยเมนูอร่อยจะคัดสรรมาจากร้านออนไลน์ชื่อดังอย่าง Barbie and Bottle, Only Amy’s, Kwanmada’s Cupcakery, Sumo Sweet และ Guilty Pleasure by Sweet Escape เป็นต้น ส่วนเครื่องดื่มก็มีทีเด็ดไม่แพ้กันอย่างที่แนะนำให้ลองก็คือ FABLAB Iced Coffee Cubes & Tubes หรือแม้แต่ Thai Milk Tea Cubes & Tubes ที่นำกาแฟแล้วก็ชาเย็นไปทำเป็นน้ำแข็งเสิร์ฟพร้อมนมสดไปจนถึงไซรัปให้เราทดลองผสมความอร่อยในบีกเกอร์ด้วยตัวเอง

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: อา.-พฤ. 10.00-22.00 น. / ศ.-ส. 10.00-24.00 น.

Location: 126/43 ถ.สุขุมวิท 63 (เอกมัย) แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 |02-101-4287
www.fablab-store.com | www.facebook.com/fablabcafebkk

[su_gmap width=”1600″ address=”FABLAB & FABLAB CAFÉ, ekkamai”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

Steps with Theera

ร้านนี้ขยับตัวจาก Theera ร้านอาหารเพื่อสุขภาพตลอดจนผู้แพ้กลูเตน (พวกแป้งสาลี, นมวัว, ไข่ เป็นต้น) ในซอยสุขุมวิท 42 มาเป็นคาเฟ่มังสวิรัติน่านั่งในย่านเอกมัยที่ยังคงคอนเซ็ปต์ความอร่อยแบบเดิมไว้ทุกประการแถมบวกด้วยไอเดียน่ายกย่องที่ผสมผสานศูนย์ฝึกวิชาชีพและพัฒนาทักษะเยาวชนที่มีภาวะออทิสซึมเข้าไปด้วยกันด้วย


Steps with Theera นั้นตั้งอยู่ในตึกเก่ากลิ่นอายยุโรปภายในเอกมัยซอย 10 ที่สามารถทะลุสู่เอกมัยซอย 12 รวมถึงลัดเลาะสู่หลายซอยที่สามารถวกกลับเข้าสู่เอกมัยไปจนถึงทะลุไปถึงแถบพระโขนงได้ด้วย ภายในร้านนั้นตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เรียบง่ายอบอุ่นและเป็นมิตร พนักงานเสิร์ฟไปจนถึงพนักงานในครัวต่างก็เป็นเด็กที่มีภาวะออทิสซึมที่จะถูกฝึกฝนด้านวิชาชีพในหลักสูตรพิเศษแบบสากลจากอังกฤษเพื่อฝึกฝนทักษะการทำงานให้กับเด็กพิเศษเหล่านี้มากกว่าการเรียนแค่ในห้องเรียน เด็กๆ จะได้ลงมือทดลองปฎิบัติงานจริงตั้งแต่เปิดร้านไปจนกระทั่งปิดร้าน แต่ละคนจะมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างกันทางร้านก็จะช่วยสนับสนุนส่งเสริมตามความสามารถของเขาด้วย และเมื่อจบหลักสูตรเด็กทุกคนก็จะได้ประกาศนียบัตรรับรองการฝึกอาชีพสำหรับเด็กพิเศษอีกด้วย


สำหรับตำรับอาหารที่นี่เป็นความอร่อยที่เน้นสุขภาพและใส่ใจวัตถุดิบอย่างถี่ถ้วนเพื่อเสิร์ฟความอร่อยให้สำหรับผู้ที่ห่วงใยสุขภาพตลอดจนผู้ที่แพ้กลูเตน แน่นอนว่าเด็กพิเศษนั้นมีส่วนร่วมในการปรุงแต่ละเมนูให้ลูกค้าในร้านทานอย่างตั้งใจ นอกจากนี้อีกเมนูพิเศษก็คือกาแฟที่เบลนด์ขึ้นเฉพาะสำหรับโครงการ 1 in 68 ซึ่งเป็นกาแฟจากร้าน Roots Coffee กาแฟชื่อดังในย่านเอกมัยที่เป็นพันธมิตรร่วมกันในโครงการซึ่งนำกาแฟจากไร่ทางเหนือของไทยมาเบลนด์ในสูตรเฉพาะ สำหรับ 1 in 68 เป็นการสร้างแคมเปญรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักและให้ความสำคัญกับเด็กพิเศษมากขึ้นโดยตัวเลขที่เป็นชื่อโครงการนั้นก็คือข้อมูลสถิติที่พบว่าเด็กไทยที่เกิดทุก 68 คน จะมี 1 คนที่มีโอกาสเป็นเด็กที่มีภาวะออทิสซึมนั่นเอง โดยโครงการดีๆ นี้ยังมีพันธมิตรร่วมด้วยช่วยกันอีกอย่าง Greyhound, If I were a carpenter, Café de Tu และ นันยาง เพื่อร่วมกันเปลี่ยนแปลงทัศนคติคนในสังคมเกี่ยวกับเด็กพิเศษที่สามารถทำงานร่วมกับคนปกติได้เช่นกัน

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 09.00-18.00 น.

Location: 29/8 ซ.เอกมัย 10 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 | 02-381-6590
stepswiththeera.com | www.facebook.com/stepswiththeera

[su_gmap width=”1600″ address=”steps with theera, ekkamai”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

หอมด่วน

เดิมทีร้านอาหารเหนือคอนเซ็ปต์เก๋นี้ตั้งอยู่ริมถนนเอกมัยก่อนที่จะย้ายเข้ามาในเวิ้งใหม่ไม่ไกลจากร้านเดิมนักและอยู่ติดกับร้านกาแฟ Ink & Lion ที่รู้จักกันดีนั่นเอง แถมขยับขยายพื้นที่ให้ใหญ่และแต่งร้านให้เก๋ขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

หอมด่วนเป็นภาษาคำเมืองของทางเหนือแปลว่า “ใบสะระแหน่” ที่คนไทยชอบนำมาทำอาหาร แต่อ่านและแปลแบบภาษากลางก็ได้ความหมายที่ดีด้วยเช่นกัน คอนเซ็ปต์ร้านนั้นถึงแม้จะแต่งเก๋แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไว้คือการขายข้าวราดแกงที่เต็มไปด้วยอาหารเหนือแสนอร่อย

เจ้าของร้านก็คือป้าช้อนชาวลำพูนที่รักการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ นำตำรับลำแต้ๆ (อร่อยจริงๆ) ที่รสชาติดั้งเดิมมาเสิร์ฟให้คนกรุงทาน ตั้งแต่ ข้าวซอยไก่, น้ำเงี้ยว, แกงฮังเล, แกงโฮะ, น้ำพริกอ่อง, จิ้นส้มผัดไข่, จอผักกาด, ลาบคั่ว, ไปจนถึงเมนูง่ายๆ แต่ยอดนิยมอย่างข้าวเหนียวหมูทอด เป็นต้น

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: จ.-ส. 09.00-22.00 น. / หยุดวันอาทิตย์

Location: ซ.เอกมัย 2 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 |085-037-8916
www.facebook.com/homduaninbkk

[su_gmap width=”1600″ address=”หอมด่วน, ekkamai”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

— Hangout Spaces —

MIKKELLER BANGKOK

ใครๆ ก็เริ่มรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของหนึ่งในเจ้าพ่อ Craft Beer ของโลกที่ได้ฉายาว่า Gypsy Brewery กันเป็นอย่างดี MIKKELLER ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.2006 โดย Mikkel Borg Bjergsø และ Kristian Klarup Keller สองหนุ่มเพื่อนซี้ชาวเดนมาร์กที่เริ่มต้นทดลองทำ Craft Beer ที่บ้านจนพัฒนามาเป็น Microbrewery ธุรกิจเบียร์ขนาดเล็กที่ไม่มีโรงบ่มเป็นของตัวเองแต่คิดผลิตสูตรอร่อยเฉพาะตัวไปจ้างตามโรงผลิตเบียร์ต่างๆ ผลิตให้ ด้วยเทรนด์ของโลกที่กระแส Craft Beer กำลังมานั้นทำให้ MIKKELLER ติดตลาดอย่างรวดเร็วและได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งใน Cfaft Beer ที่ดีอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว จากการผลิตเบียร์ส่งขายกลายมาเป็นการเปิด Craft Beer Bar ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครโดยเริ่มต้นเปิดที่โคเปญเฮเก้น (เดนมาร์ก) จนได้รับความนิยมอย่างมากและเริ่มขยายสาขาไปยังหัวเมืองใหญ่ทั่วโลกอย่างซานฟรานซิสโก, โตเกียว, รวมถึงที่กรุงเทพฯ

MIKKELLER BANGKOK ตั้งอยู่ในบ้านเก่าหลังย่อมในซอยเอกมัย 10 ท่ามกลางความร่มรื่น นอกจากเอกลักษณ์การตกแต่งร้านผสาน Art & Design ในกลิ่นอายสแกนดิเนเวียนลงไปในทุกรายละเอียดได้น่าสนใจไม่แพ้ฉลากของขวด MIKKELLER แล้ว เบียร์ที่เสิร์ฟในร้านก็ยังเด็ดไม่แพ้กันด้วย ซึ่งที่นี่จะมีหัวเบียร์ในคาแร็คเตอร์และรสชาติที่แตกต่างกันไว้บริการถึง 30 รูปแบบ ที่มีตั้งแต่ Craft Beer ขึ้นชื่อของ MIKKELLER ที่ส่งตรงจากเดนมาร์กไปจนถึง Local Craft Beer อย่าง Sukhumvit Spontan หรือแม้แต่ Sukhumvit Pilsner ที่ทาง MIKKELLER คิดค้นสูตรขึ้นเฉพาะตัวสำหรับกรุงเทพฯ เท่านั้น จนได้เบียร์รสชาติพิเศษไม่เหมือนใคร โดยเบียร์ทั้ง 30 ชนิดจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนรสชาติแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้ได้ชิมกันอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากที่นี่จะเป็น The First Craft Beer Bar in Bangkok แล้ว อีกเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใครก็คือการเป็น The First Beer Pairing Restaurant in Southeast Asia อีกด้วย ซึ่งเทรนด์การจับคู่เบียร์และตำรับอาหารนั้นกำลังเป็นกระแสนิยมในฝั่งตะวันตกที่พัฒนามาจากการจับคู่เบียร์กับไวน์แบบดั้งเดิมนั่นเอง โดยเฉพาะ Craft Beer ที่มีความหลากหลายรสชาติก็จะสามารถจับคู่กับการสร้างสรรค์สูตรอร่อยในรูปแบบต่างๆ ได้หลากหลายด้วยเช่นกัน สำหรับที่ MIKKELLER BANGKOK ก็ได้เชฟฝีมือเยี่ยมส่งตรงจากอเมริกาที่เคยผ่านครัวดังระดับมิชลินสตาร์มาแล้วมาคิดค้นเมนูพิเศษขึ้นเฉพาะที่เหมาะทานกับการจิบเบียร์แต่ละประเภทของ MIKKELLER ด้วย และนี่ถือเป็นการเข้ามาเผยแพร่วัฒนธรรมอร่อยแห่งโลกยุคใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งภูมิภาคแถบนี้กำลังบูมในเรื่องวัฒนธรรม Craft Beer ที่ยุคนี้ไม่ใช่แค่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์เท่านั้นแต่เป็นการเรียนรู้วัตถุดิบ, กระบวนการผลิต, ไปจนถึงรสชาติที่หลากหลายทำให้ได้ความสุขในการจิบเครื่องดื่มดีๆ ที่ต่างกันด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 17.00-24.00 น.

Location: 26 ซ.เอกมัย 10 แยก 2 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 | 02-381-9891
www.mikkellerbangkok.com | www.facebook.com/mikkellerbangkok

[su_gmap width=”1600″ address=”mikkeller, ekkamai”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

Nowhere

ถึงแม้ตัวร้านจะตั้งอยู่แค่ชั้น 6 ของโรงแรม Tha City Loft Hotel แต่ที่นี่กลับเป็น Rooftop Bar ที่ขึ้นชื่อว่าวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เชียวล่ะ เพราะด้วยบรรยากาศชุมชนเอกมัยโดยรอบที่ยังไม่มีอาคารสูงมากนักประกอบกับต้นไม้เขียวครึ้มแถมมองเห็นวิวตึกสูงไกลๆ นั่นทำให้มุมมองที่ถึงแม้จะเปิดสายตาแค่ 180 องศา แต่วิวก็สะกดสายตาได้อยู่หมัดทีเดียว


สำหรับ Rooftop Bar ที่เพิ่งเปิดใหม่ในย่านเอกมัยนี้ตั้งอยู่บนโรงแรมชิคๆ กลางซอยที่สะดวกต่อไปเชื่อมต่อไปย่านต่างๆ ที่ไปที่มานั้นเป็นการรวมตัวกันของเพื่อนพ้องหลายคนที่อยากมีสถานที่แฮงค์เอาท์ด้วยกันที่ไม่เหมือนใครและไม่เหมือนที่ไหน นั่นทำให้ร้านใส่ใจดีไซน์ที่แทรกเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้จดจำ

เอกลักษณ์การออกแบบที่โดดเด่นของร้านที่ว่านั้นก็คือบันไดซึ่งนักออกแบบได้สร้างให้มันวิ่งเชื่อมต่อกันเวียนไปตามมุมต่างๆ ของร้านที่ไต่ตั้งแต่พื้นห้องไปจนถึงเพดานและทะลุสู่อีกชั้น แล้วตัวบันไดเองก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการตกแต่งร้านไปในตัว แถมบางส่วนยังเป็นฟังก์ชั่นใช้งานที่กลายมาเป็นเคาเตอร์เก๋ๆ แถมด้วยโต๊ะอาหารไปในตัวด้วย ไอเดียเจ๋งๆ ที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับร้านนี้เป็นฝีมือออกแบบของ Stu/D/O สตูดิโอออกแบบของไทยที่กำลังมาแรง แถมยังเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนร้านนี้อีกด้วย


ไม่ใช่แค่การตกแต่งจะแปลกตาจนสร้างเอกลักษณ์ แต่ตำรับอร่อยก็สร้างสรรค์ได้อย่างแปลกใหม่ไม่แพ้กัน โดยที่นี่จะเสิร์ฟอาหารในตำรับ Eurasian Homemade ที่ผสมผสานเสน่ห์ของอาหารตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกันทำให้ได้สไตล์ความอร่อยเฉพาะตัว อย่าง Signature Menu ของร้าน Watermelon Salad สลัดแตงโมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแตงโมปลาแห้งของไทยแต่ปรับเปลี่ยนไปใช้ปลาคัตสึโอะบุชิซึ่งเป็นปลาแห้งญี่ปุ่นแทนโรยด้วยผงเครื่องเทศของแถบตะวันออกกลางให้รสชาติแปลกแตกต่างไม่เหมือนใคร เป็นต้น ซึ่งเชฟที่ดูแลที่นี่ก็คือเชฟชญานิน รุ่งทอง อดีตเชพจากร้าน Harvest ที่ขึ้นชื่อนั่นเอง

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: จ.-พฤ. 17.00-23.00 น. / ศ.-ส. 17.00-24.00 น. / หยุดวันอาทิตย์

Location: ชั้น 6 Tha City Loft Hotel ซ.เอกมัย 6 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 |094-394-4417
www.nowherebkk.com |www.facebook.com/nowherebkk

[su_gmap width=”1600″ address=”nowhere, ekkamai”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

Meatlicious

หลายคนคงรู้จักชื่อเสียงของ Gaggan ร้านอาหารอินเดียสุดล้ำในย่านหลังสวนที่คว้ารางวัลสุดยอด Asia’s 50 Best Restaurants มาครองได้ติดต่อกัน วันนี้ Gaggan Anand ตัดสินใจเปิดร้านที่สองในย่านเอกมัย แต่จากชื่อร้านก็พอจะเดาได้ว่าร้านนี้เสิร์ฟความอร่อยสำหรับคนที่หลงใหลเนื้อโดยเฉพาะ


จากเทคนิคการปรุงอาหารแบบไฮเทคของร้านเดิม Meatlicious คืนสู่ความอร่อยแบบสามัญด้วยเนื้อย่างสไตล์เตาถ่านที่ใช้ฟืนไม้ย่างเนื้อเท่านั้น กลิ่นของไม้และความเกรียมของเนื้อที่ย่างด้วยเตาถ่านรวมไปถึงความแรงของไฟจากวิธีการธรรมชาตินั้นถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้เนื้อย่างมีรสชาติอร่อยไม่เหมือนกับการใช้อุปกรณ์ไฮเทค ด้วยความที่เน้นการใช้เทคนิคดังเดิม การตกแต่งร้านจึงหยิบเอาสไตล์ Rustic มาใช้แทรกตัวอยู่ในทุกอนูของร้านได้อย่างมีเสน่ห์ตั้งแต่การเน้นเฟอร์นิเจอร์ไม้ดิบแต่เท่, การใช้ชามสังกะสีแบบไทยๆ, การหยิบเหล็กมาแทรกอยู่ในรายละเอียดต่างๆ ของร้าน, ไปจนถึงการเป็นครัวเปิดที่เผยให้เห็นการทำอาหารกันสดๆ เรียกน้ำย่อยให้มื้ออาหารอร่อยขึ้นได้ด้วย

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 18.00-24.00 น.

Location: 8 ซ.เอกมัย 6 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 | 091-698-6688
www.meatliciousbkk.com |www.facebook.com/meatlicious

[su_gmap width=”1600″ address=”meatlicious, ekkamai”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

— Activities —

Olive Creative Laboratory

เอกมัยไม่ได้มีแค่ร้านอร่อยหรือแหล่งนั่งชิลล์แต่ที่นี่ยังมีสถานที่ทำกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำด้วยเช่นกันซึ่ง Workshop Studio แห่งนี้ซ่อนตัวอยู่ใน Ekamai Shopping Mall คอมมิวนิตี้เล็กแต่เก๋ที่บรรยากาศร่มรื่น ถึงแม้จะเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่นักแต่สเปซนี้ก็เต็มไปด้วยสีสันและความอบอุ่น แถมมี Workshop ที่น่าสนใจหมุนเวียนมาให้ลองกันมากมายไม่ซ้ำรูปแบบ รวมถึง Workshop ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นเสมอๆ ด้วย


Workshop Studio แห่งนี้เกิดจากการรวมตัวของเพื่อน 4 คน ในหลากหลายสายงานตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการตลาด นั่นทำให้ไอเดียการคัดสรรค์แต่ละ Workshop ตลอดจนชิ้นงานโปรโมทดูน่าสนใจจนหลายคนอยากมาแจม คอนเซ็ปต์ของ Workshop Studio แห่งนี้ต้องการทำพื้นที่ให้เป็น Creative Space ที่เป็นเสมือนห้องทดลองทางความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่จำกัด เราจึงมักเห็นคอร์สดีๆ มุมความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เกิดขึ้นที่นี่เสมอๆ

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Location: ชั้น 3 Ekkamai Shopping Mall ซ.เอกมัย 10 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 |084-164-4056
www.facebook.com/olivecreativelab

[su_gmap width=”1600″ address=”olive creative lab, ekkamai”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

— Local Foods —

วัฒนาพานิช

หนึ่งในร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเลื่องชื่อของกรุงเทพฯ ที่ติดโผการจัดอันดับร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อรสเด็ดแทบจะทุกสำนัก ร้านนี้อยู่ใกล้สี่แยกกลางซอยเอกมัยที่สะดวกเชื่อมไปหลายซอยตั้งแต่ ซ.เอกมัย 5 ที่สามารถเข้าสู่ทองหล่อได้รวดเร็ว ซ.เอกมัย 12 ที่ขับตรงไปถึงแถบพระโขนงได้สบายๆ หรือแม้แต่จะตรงไปยังเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ก็ใช้เวลาไม่นานนัก แถมยังไม่ไกลจากปากซอยฝั่งสุขุมวิทอีกด้วย ร้านนี้จึงอยู่ในทำเลที่ดีเหมาะเจาะอย่างยิ่ง


ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเจ้านี้เป็นเจ้าเก่าแก่ของย่านที่อยู่คู่เอกมัยมานานกว่า 50 ปี ส่งต่อสูตรแบบรุ่นสู่รุ่นที่คงความอร่อยอย่างเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื้อของร้านนั้นตุ๋นหลายชั่วโมงจนเปื่อยนุ่ม ซุบนั้นเคี่ยวนานจนหวานหอม เครื่องปรุงตลอดจนเคล็ดลับสูตรเด็ดต่างๆ เป็นสูตรที่สืบทอดกันมาในครอบครัวที่มีความอร่อยในตำรับเฉพาะตัว เส้นก๋วยเตี๋ยวหนานุ่มหนึบนั้นเข้ากับเนื้อตุ๋นนุ่มๆ ได้อย่างลงตัว เมนูเด็ดอีกอย่างของที่นี่ที่ใครๆ ก็บอกว่าห้ามพลาดนั้นก็คือเนื้อแพะตุ๋น กรรมวิธีการตุ๋นนั้นเป็นสูตรเฉพาะตัวเช่นกันทำให้เนื้อแพะนุ่มแถมยังไม่มีกลิ่นคาว ส่วนใครไม่ชอบทานเนื้อที่นี่ก็มีเมนูเด็ดอื่นๆ อย่างสุกี้, ผัดซีอิ๊ว หรือแม้แต่ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ที่อร่อยไม่แพ้เมนูเนื้อเลยทีเดียวล่ะ

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: ทุกวัน 10.00-21.00 น.

Location: 336-8 ซ.เอกมัย 18 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ | 0-2391-7264

[su_gmap width=”1600″ address=”วัฒนาพานิช ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ, ซอย พร้อมมิตร”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

บะหมี่ไข่ลุงเฉื่อย

ถ้าพูดถึงร้านบะหมี่ในกรุงเทพฯ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตั้งแต่สูตรไปจนถึงรสชาติ หนึ่งในนั้นต้องยกให้บะหมี่อร่อยแห่งเอกมัยเจ้านี้ที่เปิดบริการเสิร์ฟความอร่อยมานานหลายสิบปี ตัวร้านนั้นอยู่ปากซอยเอกมัย 19 บริเวณท้ายซอยเอกมัยฝั่งที่จะต่อไปยังถนนเลียบทางด่วนฯ หรือถนนเพชรบุรีตัดใหม่ได้สบายๆ รวมถึงสามารถลัดเลาะทะลุสู่ทองหล่อได้ไม่ยากเลย


เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครนักของบะหมี่สูตรลุงเฉื่อยก็คือการโปะหน้าบะหมี่ชามอร่อยด้วยไข่ต้มยางมะตูมเยิ้มๆ ที่ใช้เทคนิคการต้มเฉพาะตัว พร้อมหมูแดงที่ทำเอง หมูสับ และเกี๊ยวสูตรอร่อย เส้นบะหมี่นั้นก็เด็ดไม่แพ้กันเพราะทางร้านคัดสรรบะหมี่คุณภาพที่มีความเหนียวนุ่มหนึบกำลังดี หากทานแบบน้ำนั้นชามอร่อยจะมาพร้อมน้ำซุปที่เคี่ยวจนอร่อยกลมกล่อม แต่ถ้าหากทานสูตรแห้งบะหมี่จะราดน้ำหมูแดงคลุกเคล้าลงไปกับเส้นด้วยซึ่งทำให้ได้รสหวานๆ เค็มๆ กลมกล่อมขึ้นไปอีก เป็นชามอร่อยเด็ดประจำเอกมัยที่ไม่เหมือนใคร

[su_tabs][su_tab title=”Details”]

Opening Hours: 18.00-04.00 น. (เวลาโดยประมาณ)

Location: ปากซอยเอกมัย 19 ถ.สุขุมวิท 63 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ

[su_gmap width=”1600″ address=”บะหมี่ไข่ลุงเฉื่อย”][/su_gmap]

[/su_tab] [/su_tabs]

Photography by Sharp Jaruwat P


Sponsored by

TAKA HAUS EKAMAI 12 ที่พักอาศัยใหม่จากแสนสิริในรูปแบบ Low Rise Buildings ท่ามกลางความร่มรื่นของธรรมชาติและกลมกลืนกับวิถีชุมชนแห่งคุณภาพ วิถีชีวิตเมืองในรูปแบบที่แตกต่างนี้มาในคอนเซ็ปต์ STAY UNIQUE, STAY DIVERSE ที่มอบวิถีชีวิตพักผ่อนของคนเมืองในแบบที่ไม่เหมือนใคร นอกจากการใส่ใจในการออกแบบทุกรายละเอียดของห้องพักแล้ว พื้นที่สาธารณะยังถูกออกแบบให้เหมาะสมต่อคุณภาพชีวิตที่ดีอีกด้วย สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่ www.sansiri.com

#StayUniqueStayDiverse #takaHAUS #Sansiri

นักเดินทางที่เป็นทั้งนักเขียนและช่างภาพในตัว เขียนงานให้กับสื่อต่างๆ ในเมืองไทยมากมายตั้งแต่สารคดีหนักๆ, บทสัมภาษณ์, ไปจนถึงเรื่องดีไซน์และแฟชั่น แต่ผลงานที่โดดเด่นเห็นจะเป็นบทความด้าน Food & Travel ที่เขียนถึงทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เขาหลงรักอย่างญี่ปุ่น

Magazine made for you.