กลับสู่แดนสวรรค์แคชเมียร์ สำรวจเส้นทางใหม่ที่ศรีนาคา – ซันสการ์
หลังจากที่คราวที่แล้ว เขียนบทความประกอบภาพถ่าย สู่ดินแดนทิเบตน้อย Leh Ladakh ไป กลับมาคราวนี้ ยังคงอยู่ที่อินเดียเหนือในแคว้น Jammu และ Kashmir อีกเช่นเคย แต่เป็นเส้นทางที่ต่างออกไป แถมยังสวยงามไม่แพ้เมืองยอดฮิตอย่างเลห์อีกต่างหาก เส้นทางที่ว่านี้ คือเส้น Srinagar – Zanskar นั่นเอง
“แนวเทือกเขาสุดอลังโผล่ทะลุเหนือเมฆมาให้ชมจากบนเครื่องกันเลยทีเดียว”
ขอย้อนกลับไปพูดถึงการเดินทางของทริปเลห์ซักนิด การไปเที่ยวบริเวณรอบๆเมืองเลห์นั้น ส่วนใหญ่เราจะยึดเลห์เป็นฐานที่มั่นหลักในการพักอาศัย แล้วนั่งรถออกไปเที่ยวตามสถานที่ที่อยู่รอบๆ แบบดาวกระจาย โดยการไปค้างบ้าง หรือ เช้าเย็นกลับบ้าง แต่สำหรับเส้นทาง ศรีนาคา – ซันสการ์ นั้น จะเป็นการเดินทาง road trip เสพบรรยากาศ และทัศนียภาพระหว่างเส้นทางไปเรื่อยๆ หยุดค้างคืนในเมืองทางผ่าน แล้วรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายปลายทางของเราในทริปนี้คือ เมือง Padum (พาดุม) เมืองที่อยู่ท่ามกลางการโอบล้อมของหุบเขาซันสการ์นั่นเอง
ลืมบอกไปว่า ทริปนี้ ทาง บริษัท นิคอน เซลส์ (ประเทศไทย) ได้ให้ผมยืมกล้องสุดฮิป รุ่นใหม่ล่าสุด Nikon1 J5 พร้อมเลนส์อีก 3 ตัวไปลองใช้งานด้วย เรียกว่ากล้องตัวใหญ่อย่าง Nikon D750 ของผมเอง แทบจะนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าเลยทีเดียว เพราะขนาดและน้ำหนักมันช่างต่างกันเหลือกัน ทริปลุยๆแบบนี้ ได้ กล้องเล็กๆ คุณภาพดีมาใช้งานถือว่าตอบโจทย์มากๆ คุณภาพของภาพที่ได้ก็เรียกว่าใช้งานได้ดี เอามาลงเว็บ ลงเฟสบุคหรือจะเอาไปอัดใส่กรอบก็สามารถจัดกันได้สบายๆ ดั้งนั้นในบทความนี้ผมเลยขอนำรูปที่ได้จากกล้อง Nikon1J5 แทบจะทั้งหมดมาให้ชมกันบ้าง (คราวก่อนเห็นรูปจากกล้องใหญ่ไปเยอะแล้ว) เสียดายทริปนี้กันดารขาดแคลน internet ไม่งั้นคงจะได้ upload ภาพผ่าน WiFi จากตัวกล้องมาให้ดูกันเป็นระยะๆ
“กล้องสุดฮิป คล้องคอแล้วหน้าตาดีขึ้น 4 สตอป มาพร้อมฟังก์ชั่นเด็ดครบครัน ขนาดลามะยังร้อง ว๊าว!”
“ลามะหนุ่ม ถือ Nikon1J5 ถูกถ่ายด้วย Nikon D750”
กลับมาที่การเดินทางของเรากันต่อ เราออกเดินทางกันตอนเช้าของวันที่ 11 กรกฏาคม 2558 เหินฟ้าสู่ นิวเดลี จากนั้นต่อเครื่องภายในประเทศ เดินทางไปสู่ ศรีนาคา มาวันแรกก็โดนเล่นซะแล้ว เครื่องดีเลย์ ไป 2 ชั่วโมงได้ ถึงศรีนาคาเย็นพอดี อ่อ มีเรื่องมาแนะนำเล็กน้อย เมื่อลงมายังสนามบินศรีนาคาแล้ว โปรดระวังคนที่นั่นมาเนียนคุย ช่วยแนะนำ และยกกระเป๋านะครับ ตอนนั้นลงมาตรงที่รับกระเป๋า มีคนเดินเข้ามาชาร์จสองคน ชวนคุยนู่นนี่ พอออกมาถึงหน้าสนามบินนี่โดนแบมือขอทิปโดยพลัน หากใครเจอก็ตีเนียนไม่ต้องสนใจนะครับ เดี๋ยวจะต้องจำใจยอมจ่ายทิปแบบผม การเดินทางของเราเน้นการเดินทางด้วยรถแทบจะทั้งหมด คณะเดินทางรวมเบ็ดเสร็จแล้วมีทั้งหมด 12 คน ซึ่งจำนวนที่ว่า จะลงตัวกับรถที่จะใช้งานที่นั่นพอดี ด้วยความที่ทริปเราเป็นทริปที่เน้นการถ่ายภาพ ดังนั้น เราจึงจัดให้ทุกท่าน มีหน้าต่างรถเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะเปิดหน้าต่างลั่นชัตเตอร์ได้อย่างสะดวก ดังนั้นเท่ากับว่า เราจะนั่งกัน 3 คนต่อ 1 คัน สิริรวม 4 คันพอดิบพอดี สบายๆ
“แสงทองยามเย็นที่ทะเลสาบดาลกับเรือชิคารา ใครชอบภาพโทนอุ่นๆให้ลองเล่นกับ White Balance กันดูได้นะครับ”
Hilight ของเมืองศรีนาคาอยู่ที่ ทะเลสาบดาล (Dal Lake) โดยที่พักของเราวันนี้จะเป็น Boathouse เรือโรงแรม ขนาดใหญ่ที่ถูกผูกกันเป็นแพอยู่ในทะเลสาบ โดยการที่เราจะไปถึง Boathouse ได้นั้น ก็จะต้องนั่งเรือชิคารา (Shikara) ซึ่งเป็นเรือประจำถื่นที่นั่นเข้าไป นอกจากใช้โดยสาร เรายังสามารถเช่าเรือนี้ล่องทะเลสาบ ชมวิถีชีวิตและทัศนียภาพโดยรอบได้อีกด้วย
เช้าวันรุ่งขึ้น ฝนตกต้อนรับเราแต่เช้า บรรยากาศเหงาสุดๆ บรรดาเพื่อนร่วมทริปหงอยไปตามๆกัน แต่ ไหนๆมาแล้ว ก็นั่งเรือชมบรรยากาศยามเช้ากันซักหน่อย ต่อด้วยไปเยี่ยมชม Shah Hamdan Mosque บรรยากาศแบบนี้ กดภาพเป็นขาวดำมาก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ ส่วนปลายทางวันนี้ เราจะเดินทางไปยังเมืองโซนามาร์ค (Sonamarg) ซึ่งถือว่าเป็นเมืองตากอากาศของแถบนี้ก็ว่าได้ บรรยากาศนี่น่านอนมากจริงๆ Hilight ของโซนามาร์ค จริงๆแล้วน่าจะเป็นการขี่ม้าเข้าไปชมทิวทัศน์ด้านในหุบเขา ซึ่งไหนๆมาถึงแล้ว จะให้พลาดได้อย่างไร
“Shah Hamdan Mosque ในเมือง Srinagar ไม่มีอะไรเหมาะกับช่วงเวลาฟ้าเน่ามากไปกว่า Filter B&W จากในตัวกล้องอีกแล้ว !”
“หมอกวิ่งไล่ทิวเขา ในเขต Sonamarg แม้ว่าฟ้าจะไม่เป็นใจ แต่ฟีลลิ่งแบบนี้ ก็ทําให้อารมณ์ในภาพเปลี่ยนไปอีกแบบ”
“ไหนๆมาแล้ว ขี่ม้าชมวิวกันซะหน่อย”
ผ่านไปสองวัน ฟ้ายังคงเน่าอยู่ หลายๆคนภาวนาให้ฝนหยุดซะที! แต่แล้ววันที่ 3 ก็ยังเน่าอยู่ ฮ่าๆๆๆ วันนี้เราเดินทางเพื่อย่นระยะทางให้เข้าใกล้ปลายทางของเราให้มากขึ้น โดยผ่านเมืองหลักๆอยู่สองเมือง ก็คือ ดราส (Dras) กับ คาร์กิล (Kargil) โดยสุดท้ายจะไปหยุดพักค้างคืนกันที่บริเวณหมู่บ้านซางกุ (Sanku) เช้าวันรุ่งขึ้นเหมือนพระเจ้าเข้าข้าง ตื่นมาตอนเช้า เพื่อนๆร่วมทริปตะโกนกันใหญ่ “ฟ้าเปิดแล้วๆๆๆ” เสียงรัวชัตเตอร์ก็เริ่มดังสนั่นขึ้น วันนี้การเดินทางของเราจะยาวนานเป็นพิเศษ โดยที่คาดการณ์ไว้คือการนั่งรถข้ามน้ำข้ามเขาเป็นเวลา 12 ชั่วโมง เพื่อไปยังศูนย์กลางของซันสการ์ ซึ่งก็คือเมืองพาดุมนั่นเอง เส้นทางจากซางกุไปยังพาดุม ต้องเรียกว่า breath taking สุดๆ หยุดหายใจกันเลยก็ว่าได้ อธิบายไม่ถูก ขอลองเชิญให้รับชมกันเองดีกว่า ไม่รู้จะเรียกว่ามาอินเดีย หรือ ยุโรปดี

“ในการใช้เลนส์มุมกว้าง การเลือกฉากหน้านั้นสําคัญมาก นอกจากนี้การที่กล้องมีหน้าจอแบบพับได้และขนาดกระทัดรัดเป็นการ ช่วยเพิ่มความสะดวกในการถ่ายได้เป็นอย่างมาก จนกล้องใหญ่ยังต้องบ่นอิจฉา”
“สาวน้อยคนนี้หน้าตาจิ้มลิ้มมากๆ แถมยังชอบโพสต์ท่าให้เหล่าตากล้องได้รัวชัตเตอร์กันอย่างเมามัน”
“มุมต่ำเลียดพื้นก็บ่ยั่น Nikon1J5 มีจอพับ Tilt Screen ไม่ต้องนอนราบให้ตัวเปื้อน”
“แสงเย็นแตะยอดเขา ขณะที่เบื้องล่างเป็นธารน้ําแข็ง จังหวะนั้นอย่างฟิน รูปนี้จริงๆส่วนด้านล่างจะมีความมืดกว่านี้ แต่ไฟล์ RAW ของ Nikon1J5 ก็ไม่ทําให้ผิดหวัง เราสามารถนําไฟล์ RAW มาตกแต่งเพื่อเปิดเงามืดได้โดยที่รายละเอียดยังอยู่ครบ เป็นการต่อยอดทางจินตนาการได้อีกเยอะ”
เราเดินทางกันมาเรื่อยๆ ก็เหมือนจะราบรื่นดี เราคาดหวังกันว่าน่าจะเดินทางถึงเมืองพาดุมกันประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งก็ถือว่าเป็นเวลาที่โอเค เพราะที่นี่ 2 ทุ่มฟ้าเพิ่งจะมืด ไปมืดสนิทจริงๆก็เกือบ 3 ทุ่ม แต่ท่าทางเบื้องบนจะเห็นเราดี๊ด๊ากันเกินไป เลยจัดปัญหามาให้ดอกที่ 1 รถโช๊คเสีย ทำเอาเสียเวลาซ่อมไปราว 2 ชม. แถมยังทำให้รถวิ่งด้วยความเร็วที่ช้าลงไปอีก สรุปถึงเมืองพาดุมกันราวๆ ตี 1 สลบดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เรามี hilight event ที่รอเราอยู่ นั่นก็คือ mask dance ที่วัด Karsha
ตื่นเช้ามา อากาศสดใสเช่นเคย แต่จะว่าไป บางทีก็ใสไปนะ แดดร้อนมาก อย่างที่เคยบอกกันไว้ว่า ดินแดน Kashmir ถ้าจะมา ควรพกเครื่องป้องกันมากันให้ครบ ตั้งแต่ครีมกันแดด เสื้อแขนยาว ยันเสื้อหนาวขนเป็ด เพราะกลางวันถ้าฟ้าเปิด แดดส่องโดนหน้านี่มีหน้าไหม้ได้ ส่วนพอตกเย็นก็ต้องควักเอาลองจอห์น เสื้อขนเป็ด มาใส่กัน เพราะอุณหภูมิจะเริ่มลดลงเรื่อยๆ บางจุดลงไปถึงเลขตัวเดียวก็น่าจะมี วันนี้เราจะไปกันที่วัด Karsha วัดใหญ่ของเมืองพาดุม ซึ่งจะมีเทศกาลที่เค้าจัดกันขึ้นทุกๆปี นั่นก็คือเทศกาลหน้ากาก หรือ ว่า mask dance ในหนึ่งปี จริงๆ แล้วจะมีหลายครั้ง แต่จะต่างสถานที่กันออกไป อย่างที่พาดุม ก็จะมีครั้งเดียว ดังนั้นใครอยากมาให้ตรงเทศกาล อย่าลืมหาข้อมูลมาก่อนล่วงหน้า แต่สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้คือเวลาเริ่มของ mask dance เพราะว่าเราจะรู้แค่วันที่เค้าจะแดนซ์กัน แต่เราจะไม่รู้เวลาเริ่มที่แน่ชัด เรียกว่าเอาที่ลามะสบายใจกันสุดๆ ดังนั้น ควรเตรียมอุปกรณ์กันแดด อาหาร และ น้ำดื่มกันให้พร้อม อย่างวันที่เราไป ได้รับข่าวมาว่างานเริ่ม 10 โมง เอาเข้าจริงกว่าลามะจะบิ๊วอารมณ์กันเสร็จปาเข้าไปเกือบบ่าย ลมแทบใส่
“เปิด Shutter Speed ต่ำเพื่อให้ได้ movement ของ subject ที่น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งระบบกันสั่นของกล้องมีความจําเป็นอย่างมาก ที่จะทําให้เราถือกล้องได้อย่างมั่นใจ แม้ว่า Shutter Speed จะช้ามากก็ตาม”
ตามแผนของเราต้องเดินทางกลับออกไปยังศรีนาคา ในอีก 1 วันข้างหน้า แต่ว่าเราได้พิจารณากันแล้ว ว่าถ้าต้องนั่งรถยาวๆแบบขามาอีก คงจะเป็นการทรมาณกายกันเกินไป ก็เลยมีการปรับแผนว่าเราจะออกจากพาดุมกันในวันรุ่งขึ้น ช่วงเช้าจะไปเที่ยวรอบๆก่อน จากนั้นตอนเที่ยงเดินทางเพื่อไปค้างคืนที่หมู่บ้านรังดุม (Rangdum) เพื่อย่นระยะทางในการเดินทางในวันรุ่งขึ้น จริงๆแล้วคนส่วนใหญ่จะถือเอาเมืองรังดุมนี้ไว้เป็นแค่จุดแวะพักหรือทางผ่าน เพราะ ที่พักมันโหดมากๆ เรียกว่า อะไรๆก็จำกัดจำเขี่ยไปหมด ไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า น้ำ ที่นอน อาหาร อีกทั้งความสะอาดนี่อย่าไปหวัง รีบๆเข้านอน น่าจะดีที่สุด แต่วิวข้างทางและรอบๆตัวนั้นไม่มีจำกัดเลยจริงๆ ฟิน!
ตื่นเช้ามาเริ่มเข้าโหมดฟ้าเน่ากันอีกครั้ง ในใจคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ถ่ายรูปกันมาอย่างเยอะ ฟ้าเน่าบ้างก็ดีจะได้ถ่ายรูปน้อยลง ฮ่าๆๆ แต่บางโมเม้นท์ไอ้ฟ้าเน่าๆนี่แหล่ะตัวดี มาเป็นโหมด Dramatic ให้เราอดใจไม่ไหว ก็ต้องควักกล้องออกมาถ่ายอยู่ดี
“แม้กล้องจะเล็กแต่รายละเอียดไม่ได้เล็กตามเลย มาเต็ม”
“ถ่ายพาโนรามาจากตัวกล้อง แค่ถือกล้องในแนวตั้งและลากกล้องในแนวนอน ก็ได้รูปยาวๆแบบนี้ออกมาสมใจ”
เราเดินทางกลับมาที่เมือง Kargil อีกครั้งเพื่อที่จะพักค้างคืนและเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้นไปยังศรีนาคา แต่มันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ปัญหาดอกที่ 2 มาเยือน เนื่องจากมีข่าวมาว่าเกิดดินถล่ม “ทางขาด ถนนปิด ไปต่อไม่ได้” พวกเราถึงกับหน้าเสีย และพยายามหาแผนสอง เพื่อเตรียมรับมือเอาไว้ก่อน เมื่อตะวันขึ้นเราเตรียมตัวออกเดินทาง และภาวนาให้เราสามารถผ่านกลับไปยังศรีนาคาได้ แต่สุดท้ายเราก็พบกับข่าวร้าย ถนนยังใช้งานไม่ได้ เรามีทางเลือกไม่มาก จะรอจนกว่าถนนจะเปิด หรือ จะนั่งรถเพื่อไปตั้งหลักที่เลห์ เพราะที่นั่นมีทั้งสนามบิน อีกทั้งโรงแรม และอาหารก็ตอบโจทย์กับความเหนื่อยล้าของพวกเราได้มากกว่า สุดท้ายรอจนถึงเย็นถนนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเปิด เราจึงเบนเข็มไปยังเลห์ เมืองที่คุ้นเคย กะจิตกะใจในการเอากล้องมากดถ่ายรูประหว่างทางเริ่มหมดลง ได้แต่ซึมซับทิวทัศน์อันสวยงามระหว่างทางด้วยสองตา สรุปการเดินทางจาก Kargil ไปยัง Leh ใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง ไปถึงเลห์ราวๆ ห้าทุ่ม คืนนั้นผมกับคุณต้น group leader พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อที่จะพาลูกทริปอีก 10 ชีวิตกลับเมืองไทยให้ได้เร็วที่สุด การบินกลับไป New Delhi จากเลห์ จริงๆแล้วถือว่าเป็นการเดินทางที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่ว่ามีเงิน ณ ตอนนั้นแล้วคุณจะกลับได้ ปัญหาดอกที่ 3 ยังคงตามมาอีกระลอก เมื่อเราได้ทราบว่าไฟล์ทจาก Leh ไป Delhi เต็มหมดทุกสายการบินล่วงหน้ายาวไปอีก 3-4 วัน แถมราคายังมหาโหดอีกด้วย หวยเลยมาออกที่ว่า เราจะเลื่อนตั๋ว Delhi – Bkk ไปกลับเป็นวันพุธแทน จากนั้นเราจะเดินทางจาก Leh ไปยัง Delhi ด้วยรถยนต์!!! สิริรวมระยะทางกว่าพันกิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางรวมประมาณ 30 ชั่วโมง เรียกว่าเป็นการเดินทางมหาโหดแต่แลกด้วยประสบการณ์และวิวข้างทางที่ไม่คาดคิด จะเรียกว่าคุ้มค่ามากก็ไม่ผิด เราหยุดพักกันที่เมือง Leh 1 วัน เพื่อให้ลูกทริปผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า จัดหารถพาเที่ยวรอบๆ เป็น 1 day trip กันไป ส่วนผม กับคุณต้นก็ใช้เวลา 1 วันในการจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ก็เลยไม่ได้ไปแวะถ่ายภาพที่ไหน
วันรุ่งขึ้นเราออกจากเลห์แต่เช้า เพื่อเผื่อเวลาในการเดินทางให้มากเข้าไว้ เรามุ่งหน้าไปยังมะนาลี (Manali) เพื่อต่อรถบัสโดยสาร ไปยัง Delhi ต่อ นั่นคือแผนของเรา ถนนหนทางนั้นเรียกว่าแย่ขั้นสุด แต่สิ่งที่เราไม่คาดฝัน และ ทำให้ลูกทริปนั้นกระปรี้กระเปร่ากันขึ้นอีกครั้ง คือการที่เราได้พบกับหิมะขาวโพลนบนยอด Taglangla Pass ถนนที่สูงอันดับที่สองของโลก (เค้าว่ากันว่าอย่างนั้น) ลั่นชัตเตอร์ถ่ายรูปกันอย่างเมามัน จนบางคนลืมไปว่ากำลังวิ่งเล่นอยู่ ณ สถานที่ ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 5,300 เมตร พอกลับขึ้นรถ เลยมีคนคอพับไปหลายคนอยู่ เนื่องจากอาการ AMS เริ่มถามหา

การถ่ายภาพบนรถถือว่าค่อนข้างจะลำบากอยู่ โหมดที่ผมใช้ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การควบคุม Shutter Speed เพราะว่ารถเราเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา อีกอย่างสภาพแสงส่วนใหญ่จะสว่างพอที่จะอัด speed shutter ให้ได้สูงๆอยู่แล้ว (อันนี้แล้วแต่ความถนัดนะครับ บางคนอาจจะถนัด M เพราะควบคุมรูรับแสงได้ด้วย แล้วให้กล้องคำนวณ iso ให้ แต่ผมถนัดโหมด S มากกว่า) ช่วงเลนส์ก็สำคัญเช่นกัน รอบนี้ทาง Nikon ให้ยืมเลนส์ครอบจักรวาลมาด้วย 1 ตัว นั่นก็คือ 10-100mm (เมื่อคูณ crop factor ของ Nikon1 ไปอีก 2.7 ก็จะเท่ากับช่วงเลนส์
27-270mm บนกล้อง full frame ซึ่งถือว่าใช้งานได้ครอบคลุมมากๆ)

“แสง cookie light นี่แหล่ะที่เป็น Hilight ของการถ่ายภาพ ณ ที่แบบนี้”
แต่แล้วปัญหาดอกใหญ่สุดดอกที่ 5 ก็ได้เดินทางตามมาส่งพวกเรา ความสุขของเรากำลังจะโดนทำลายลงอีกครั้ง เพราะมีข่าวจากรถที่ขับสวนเรากลับไปแจ้งมาว่า “ข้างหน้าทางขาด” ไม่สามารถเดินทางต่อไปยังมะนาลีได้ โอ้วววววว! นี่มันวิบากกรรมอะไรกันเนี่ย คนขับรถถามเราว่า “จะย้อนกลับ” หรือ “จะไปต่อ” เราเลือกที่จะไปเผชิญความจริงกันข้างหน้า และแล้วเราก็พบกับกลุ่มรถและคนจำนวนมาก ยืนดูถนนที่ขาดไปพร้อมกับสายน้ำที่รุนแรง (เสียดายแบตเตอรี่กล้องหมดไปซะแล้วเลยไม่ได้เอารูปจาก Nikon 1J5 มาฝากกัน) เราคิดหนักกันอยู่ซักพักว่าจะ เอาอย่างไรดี ตั๋วก็เลื่อนไปแล้ว จะต้องทิ้งอีกหรือ? หรือจะกลับไปตั้งหลักที่เลห์ แต่ระยะทางมันก็ไกลมาก แถมยังต้องนั่งรถข้ามเขาอีก เวลาตอนนี้ก็จะเย็นแล้ว ถ้าไปติดอยู่บนเขาตอนดึกๆจะทำยังไง จนสุดท้ายเบื้องบนก็เมตตา ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ทหารช่วยกันเอาเพลทเหล็กกว้าง 1 ฟุต มาวางพาดกับโครงสะพานเหล็ก เพื่อให้คนเดินข้ามได้ ในที่สุดเราก็สามารถข้ามไปอีกฝั่งถนนได้พร้อมกับแลกรถกับอีกฝั่งนึงเพื่อให้เราเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไปได้ ก็เรียกว่าจบทริปอย่างสมบูรณ์แบบ!
บทสรุปทริป ศรีนาคา – ซันสการ์ ของเรา จากตามแผนที่วางไว้คือ 9 วัน เจอปัญหาถาโถม งอกกลายเป็น 12 วัน เดลี – ศรีนาคา – โซนามาร์ค – ซางกุ – พาดุม – รังดุม – คาร์กิล – เลห์ – เกย์ลอง – มะนาลี – เดลี มีครบทุกรส ตั้งแต่นอนกากยันนอนหรู อาหารแห้งยันสปาเกตตี้และพิซซ่า การนั่งรถกว่า 2,000 กิโล เดินลุยน้ำหลาก เจอทางขาดนั่งรถต่อไม่ได้ สุดจะเศร้ากับการตกเครื่องบิน และเอ็กซ์ตรีมสุดๆกับการเดินบนโครงสะพานข้ามฝั่งแม่น้ำ แต่สิ่งที่เจอเหล่านั้นก็คือประสบการณ์ที่บางทีเราอาจจะไม่ได้เจอมันอีก และก็ไม่สามารถซื้อมันได้ มันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น แก้ปัญหาได้ดีขึ้น งานนี้ขอบคุณต้น (Tonnaja) partner และ cofounder บริษัท วันเดอร์ วอนเดอร์ (Wonder Wander) ที่ช่วยร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆให้ลุล่วงมาด้วยกัน ขอบคุณลูกทริปทุกท่านที่ร่วมเดินทางไปกับเรา ขอบคุณบริษัท นิคอน เซลส์ (ประเทศไทย) ที่นำเสนออุปกรณ์กล้องดีๆ และให้ยืมกล้องจิ๋วแต่แจ๋วอย่าง Nikon 1 J5 ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาอ่านและชมภาพที่ผมตั้งใจจะนำมาแบ่งปัน แล้วเราจะมาพบกันใหม่ กับการเดินทางครั้งต่อไป..
5 Comments
-
vchic
ภาพสวยมากค่ะ เหมือนใช้กล้อง ขนาดใหญ่เลย ได้แต่งสีสันในภาพรึเปล่าคะ หรือนี่คือสีจากกล้องที่ถ่ายจริงๆ
-
vchic
ประทับใจฝีมือการถ่ายภาพมากค่ะ สุดยอดจริงๆ
-
nant
trip นี้ เดินทางช่วงวันที่เท่าไหร่คะ
-
Cultured Creatures
กลางเดือนกรกฎาคมค่ะ
-
Comments are closed.
Wirat P.
น่าไปแท้