ไต้หวันฉบับยาว: Couchsurfing ไทเป ไทจง ฮั่วเหลียน ไทตง

ไต้หวัน เป็นจุดหมายฮอตฮิตใหม่ ที่คนไทยคาดว่าจะไปเยือนเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่รัฐบาลไต้หวันนำโดยประธานาธิบดี ไช่อิงเหวิน ได้อนุมัติให้คนไทย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย เดินทางเข้าไต้หวันโดยไม่ต้องใช้วีซ่าไปเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา โดยได้เริ่มมาตรการนี้กับประเทศไทยเป็นประเทศแรก ซึ่งคาดว่าน่าจะเห็นประสบการณ์จากที่ญี่ปุ่นให้คนไทยเข้าประเทศโดยไม่ต้องใช้วีซ่าว่าเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจขนาดไหน เพราะขาช้อปไทยโด่งดังไกลไม่แพ้ใครในโลก ดังนั้น ผมจึงจะขอแนะนำที่เที่ยวที่น่าไปเยือนพร้อม ๆ กับแนะนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับไต้หวันให้ได้รู้จักกัน

สำหรับทริปนี้ ผมติดต่อหาที่พักกับ Couchsurfing เพราะอยากรู้จักไต้หวันจากมุมมองของคนท้องถิ่น ประกอบกับมีแผนเดินทางไปจีนต่อจากนี้อีกหลายวัน หากสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านที่พักได้ก็จะดีมาก โชคดีที่โฮสต์ตอบรับมาเกือบทุกเมืองที่ไป เลยได้คุยสอบถามและได้รับคำแนะนำที่เที่ยวที่กินเยอะแยะเลย ส่วนที่เหลือก็จองห้องพักสไตล์ B&B (Bed & Breakfast) ที่ไม่ไกลกับสถานีเพื่อความสะดวกในการเดินทาง

เมืองที่ได้เยี่ยมเยือนและจะมาแนะนำก็ได้แก่ ไทเป, ไทจง, ฮั่วเหลียน และไทตง

1. กรุงไทเป

ถ้าเราเดินทางจากประเทศไทยไป โดยมากแล้วเครื่องบินก็จะลงจอดที่สนามบินเถาหยวน (Taoyuan International Airport) ในเมืองหลวง กรุงไทเปกัน เพราะฉะนั้น จึงจะขอแนะนำเป็นเมืองแรกกันเลย และที่ไทเปนี้ ผมใช้เวลาเที่ยวมากที่สุด เลยได้ไปมาหลายที่กว่าเมืองอื่น

ไทเปเป็นเมืองหลวงที่ให้อารมณ์เหมือนกำลังเดินอยู่ในกรุงเทพฯ บ้านเรา (เริ่มไม่แปลกใจที่ชาวต่างชาติหลายคนจะสับสนระหว่าง Thailand และ Taiwan) ด้วยตรอกซอกซอยที่เยอะแยะ ในหลาย ๆ มุมก็คล้ายกับโซนเยาวราช, สีลม, ทองหล่อ แต่แทนที่จะมีมอเตอร์ไซค์วิน ที่ไทเปจะมีรถตู้โดยสารฟรีที่มีขนาดใหญ่กว่ารถตู้บ้านเราเล็กน้อย คอยรับส่งชาวไทเปตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ไปยังสถานีรถไฟฟ้าหรือห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ ค่ารถแท็กซี่ที่นี่แพงกว่าที่ไทยราวสองสามเท่าได้

TIPS: สำหรับการเดินทางในไต้หวัน ถ้ามาหลายวัน แนะนำให้ซื้อซิมมือถือเพื่อใช้อินเตอร์เน็ตกับโทรศัพท์ ราคาตามวันที่ต้องการ เช่น 10 วัน 500 บาท เพื่อใช้ค้นหาแผนที่ กันหลงทาง และบัตรเติมเงิน EasyCard จากเคาน์เตอร์ที่สนามบิน (มีค่าบัตร) หรือที่สถานีรถไฟ Taiwan Station (มีค่ามัดจำ และได้คืนเมื่อคืนบัตร) ไว้จ่ายค่าตั๋วรถไฟใต้ดิน, รถบัส หรือชำระค่าสินค้าตามร้านสะดวกซื้อ

แต่ละที่ต่อไปนี้ ได้ไปเยือนพร้อมๆ กับโฮสต์ couchsurfer ที่สละเวลาว่างมาเป็นไกด์พาเที่ยวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก
(National Chiang Kai-shek Memorial Hall)

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญและโดดเด่นในด้านประวัติศาสตร์ที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวันคืออนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงจอมพลเจียงไคเช็ก ผู้นำพรรคชาตินิยม (หรือที่เรียกว่า ก๊กมินตั๋ง) ต่อจาก ดร. ซุนยัตเซ็น ในช่วงที่ต่อสู้กันกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคชาตินิยมจีนพ่ายแพ้นั้น ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ส่วนหนึ่งที่เป็นสมาชิกก๊กมินตั๋งได้อพยพมายังเกาะฟอร์โมซา (มาจาก Ilha Formosa หรือเกาะที่สวยงาม เป็นชื่อเกาะที่ชาวโปรตุเกสตั้งเมื่อคราวสำรวจบริเวณนี้ในศตวรรษที่ 16) และตั้งรัฐบาลจีนพลัดถิ่นในนาม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวันในปัจจุบัน) และเป็นตัวแทนประเทศจีนในองค์การสหประชาชาติจนถึงปี 1971 หลังจากนั้น จีนแผ่นดินใหญ่ (สาธารณรัฐประชาชนจีน) ก็ได้รับชัยจากข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 2758 ที่ให้ตัวแทนจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวของประเทศจีน ทำให้สาธารณรัฐจีนหรือไต้หวันหมดสภาวะความเป็นประเทศไป ปัจจุบันมีเพียง 21 ประเทศและรัฐวาติกันที่รับรองสถานะความเป็นประเทศของไต้หวัน จนบัดนี้ความขัดแย้งระหว่างจีนทั้งสองก็ยังคงดำเนินต่อไป เพราะฉะนั้น หากได้พูดคุยกับคนไต้หวันก็แนะนำว่าพยายามอย่าจี้หรือจุดประเด็นการเมืองระหว่างประเทศในหัวข้อนี้ขึ้นมากลางวงสนทนา ถ้าไม่อยากคุยกันยาว

ไต้หวัน
บริเวณด้านหน้าของอนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ก

ที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้ มีขนาดใหญ่โต และตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับโรงละครและคอนเสิร์ตฮอลแห่งชาติ ภายในอนุสรณ์สถานจะมีรูปปั้นขนาดใหญ่กว่าคนจริงของจอมพลเจียงไคเช็คตั้งอยู่ โดยมีทหารยืนประจำการอยู่ตลอด โดยทุกชั่วโมง จะมีพิธีเปลี่ยนทหารประจำการที่ดูเข้มแข็งเป็นทางการอย่างมากเลย ถ้าไม่เชื่อ ลองชมจากคลิปที่ผมถ่ายมาให้ชมนี้ดูกันได้

การเดินทางก็ไม่ยาก เพียงนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Chiang Kai Shek (หรือตัวย่อ CKS) Memorial Hall แล้วเดินตามทางออกที่ 5 ได้เลย สำหรับเว็บไซต์ข้อมูลของอนุสรณ์สถานสามารถเข้าชมได้ที่ cksmh.gov.tw/eng

Tamsui

ตัมสุ่ย (Tamsui หรือชื่อเก่า Danshui) เมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไทเป เป็นสถานีปลายทางของรถไฟใต้ดินเส้นสีแดง เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ของไต้หวันมาก่อน จากดั้งเดิมที่เมืองนี้เป็นที่อยู่อาศัยของชาวอะบอริจิ้นหรือชนพื้นเมืองบนเกาะฟอร์โมซา ชาวสเปนและชาววิลันดา (ดัตช์) ก็ได้เข้ามาครอบครองพื้นที่แห่งนี้ในศตวรรษที่ 17 ทำให้ปัจจุบันยังคงมีป้อมปราการซาน โดมิงโก สไตล์โคโลเนียล (ลักษณะคล้ายกับที่พบบนเกาะมาเก๊า) ให้เห็นอยู่ แต่ที่แห่งนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่คนไทเปนิยมมาเดินเล่น และชมพระอาทิตย์ตกดินกัน นอกจากนั้น บริเวณนี้ก็มีร้านรวงรายล้อมให้ได้ลองชิมมากมาย ของเด็ดขึ้นชื่อก็เห็นจะเป็น ไข่หิน (สีดำคล้าย ๆ ไข่เยี่ยวม้าแต่เล็กกว่า), ลูกชิ้นปลา, ข้าวเกรียบ


วัยรุ่นไต้หวันนิยมมาชมวิวบริเวณสวนสาธารณะแห่งนี้


บางครั้งก็มีช่างภาพมาถ่ายนางแบบกับวิวโล่ง ๆ สบายตา

Raohe St. Night Market

ตลาดกลางคืนดูจะเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมและแสดงความเป็นไต้หวันได้เป็นอย่างดี ตลอดเส้นทาง เราจะได้พบกับแผงอาหาร, ของกินเล่น, ร้านเสื้อผ้าและสารพันสิ่ง ที่หลากหลายและเนืองแน่นไปด้วยผู้คนทุกวัน ครั้งนี้ เราได้มาที่ Raohe Street Night Market ใกล้ ๆ กับวัดซิยู (Ciyou Temple) การเดินทางก็สะดวก เพียงนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงสุดสายที่สถานี Songshan แล้วเดินมาทางออกที่ 1 ชานมไข่มุกไต้หวัน, เห็ดย่าง, ซุปไก่สมุนไพร และอีกมากมาย เดินเลือกชิมได้ตลอดสายจริง ๆ


บริเวณทางเข้าของตลาดกลางคืนอันเลื่องชื่อ


วัดซิยูอยู่ใกล้เคียงทางเข้าตลาด เหมาะสำหรับมาไหว้สักการะขอพร

National Palace Museum

หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่น่าเยี่ยมชมที่สุดในเกาะไต้หวันเห็นจะหนีไม่พ้น National Palace Museum พิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เยี่ยมชมถึงปีละกว่า 5 ล้านคน ติดอันดับ 7 ของโลกเลยทีเดียว การเดินทางไม่ยากนัก แค่นั่งรถไฟฟ้าสาย Tamsui-Xinyi มาลงที่สถานี Shilin แล้วต่อรถเมล์สาย R30 มาลงที่หน้าพิพิธภัณฑ์

พิพิธภัณฑ์มีพื้นที่จัดแสดงกว้างขวางมาก ควรเผื่อเวลาเดินชมไว้ด้วย

ที่น่าชมในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็จะเป็นโบราณวัตถุและศิลปะวัตถุล้ำค่าของอารยธรรมจีนกว่า 7 แสนชิ้น ที่จัดวางไว้ในพื้นที่อาคารขนาดใหญ่ แบ่งหมวดหมู่เป็นหลายโซนหลายห้อง ตั้งแต่สมัยยุคหินก่อนประวัติศาสตร์เรื่อยมาจนถึงสมัยจักรวรรดิจีนหลายราชวงศ์ รวมทั้งยังมีนิทรรศการหมุนเวียนที่น่าสนใจตลอดทั้งปี อย่างช่วงที่ผมไปเยือน ก็มีนิทรรศการจัดแสดงพระไตรปิฎกฉบับเนปาลและมองโกเลียที่หาดูได้ยากมาก มีการอธิบายชิ้นส่วนประกอบต่าง ๆ ตั้งแต่หีบไม้บรรจุพระไตรปิฎกและแต่ละชั้นด้านในให้ได้ชมอย่างเต็มอิ่ม

สาเหตุหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์นอกจีนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้กลับมีศิลปะวัตถุของจีนจำนวนมากนั้น เพราะระหว่างที่จีนเปลี่ยนผ่านจากรัชสมัยของจักรพรรดิปูยีเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์นั้น ได้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ Palace Museum ที่พระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งเพื่อรวบรวมศิลปะวัตถุไว้ในที่เดียว และเมื่อจีนต่อสู้กับญี่ปุ่น ก็ได้มีการเคลื่อนย้ายศิลปะวัตถุบางส่วนออกจากพระราชวังต้องห้ามไปยังเซี่ยงไฮ้และนานกิงเพื่อความปลอดภัย และต่อมาเมื่อเกิดสงครามกลางเมืองภายในจีน จอมพลเจียงไคเช็กก็อพยพมาเกาะไต้หวัน และต่อมาได้เคลื่อนย้ายศิลปะวัตถุบางส่วนมาไว้ที่ไต้หวันนั่นเอง พิพิธภัณฑ์ National Palace Museum จึงได้ถือกำเนิดในปี 1965 หรือ 40 ปีหลังจากเปิดตัว Palace Museum ในกรุงปักกิ่ง

สิ่งที่น่าชื่นชมเกี่ยวกับคนไต้หวันประการหนึ่ง คือความไฝ่รู้และนิสัยรักการอ่านที่ถูกปลูกฝังมาแต่เด็ก ดังจะเห็นได้จากร้านหนังสือที่มีมากมายและมีทั้งเด็กจนถึงผู้ใหญ่เดินเลือกซื้ออยู่ตลอด หรืออย่างที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็จะเห็นคนไต้หวันพาครอบครัวทั้งเด็กน้อยและผู้สูงวัยมาเดินชมนิทรรศการกันอย่างมากมาย และเนื่องจากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีโบราณวัตถุหลายชิ้นที่หาชมได้ยาก นักท่องเที่ยวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ก็แห่กันเข้ามาชมพร้อมกรุ๊ปทัวร์อยู่ตลอด แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะมีเจ้าหน้าที่คอยตักเตือนหากส่งเสียงดังอยู่หลายจุดทั่วพิพิธภัณฑ์

Zhongqiang Park (Elephant Mountain Hike)

ถ้าพูดถึงเกาะไต้หวัน ก็คงจะต้องเอ่ยถึงตึกไทเป 101 กันบ้าง ตึกนี้สูง 101 ชั้น วัดได้ที่ 509.1 เมตร และเคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลก โค่นแชมป์ตึกคู่ปิโตรนาสของมาเลเซียลงในปี 2004 แต่ก็ถูกตึกเบิร์จ คาลิฟาร์ของกรุงดูไบโค่นลงในอีกห้าปีถัดมา ด้วยความสูงขนาดนี้ ทำให้เราสามารถมองเห็นตึกนี้ได้ไกลมาก หลายครั้งเราก็อยากจะถ่ายรูปวิวสวย ๆ โดยให้ตึกไทเป 101 นั้นเป็นพระเอกเด่นในภาพเพื่อเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาเยือนไต้หวันแล้ว

สถานที่แนะนำที่เหมาะกับการถ่ายวิว หนึ่งในนั้นคือสวนจงเชียง (Zhongqiang Park) ใกล้สถานีรถไฟฟ้า Xiangshan ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้เดินไต่เขาช้าง หรือเขาเซียงซาน (Xiangshan Mountain) ขึ้นไปชมวิวรอบไทเปกัน และเมื่อเดินขึ้นลงไต่เขากันเหนื่อยแล้ว ก็ลองแวะร้าน Nola Kitchen (เลขที่ 16 ถนน Xinyi ตรอก 14 เลน 150 แยก 5, www.nola.com.tw) ตรงมุมสวนจงเชียงเพื่อนั่งพักจิบเบียร์เย็น ๆ หรือทานอาหารให้หายหิวกันดูได้


วิวตึกไทเป 101 ตอนกลางคืนจากที่ชมวิวเขาช้าง

Fuhang Soy Milk at Shandao Temple Station

อาหารมื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุด และด้วยความที่คนไต้หวันเองก็ดูจะใส่ใจกับวัฒนธรรมการกินไม่แพ้คนไทยเรา ทำให้เราพบกับปรากฏการณ์ต่อแถวเพื่อรอที่นั่งในร้านอาหารดัง ๆ กันอยู่บ่อย ๆ ทริปนี้เราก็ได้ไปต่อแถวยืนรอคิวเพื่อจะได้ลิ้มลองน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋เจ้าดังของร้าน ฝูฮั่ง (阜杭豆浆, พิกัด GPS) ที่ด้านข้างสถานีรถไฟฟ้าวัดซานเต๋า (Shandao Temple Station) ร้านอยู่ชั้นสอง เปิดตั้งแต่เวลาตีห้าครึ่งถึงเที่ยงครึ่งทุกวันยกเว้นวันจันทร์

แถวจะยาวเรื่อยมาจากแคชเชียร์จนถึงชั้นล่าง เลื้อยมาจนถึงด้านข้างสถานีเป็นประจำ แต่ถ้าโชคดี ก็อาจจะไม่ต้องรอนาน เมนูพื้นฐานก็คือน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องกับปาท่องโก๋ที่ไซส์ใหญ่ยาวกว่าของบ้านเรา และรสชาติออกจืดกว่าของไทยเล็กน้อยแต่ก็อร่อยจริงจังคุ้มค่าที่ยืนต่อแถวรอ


บรรยากาศในร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ชื่อดัง

Huashan 1914 Creative Park

การจะสร้างความแตกต่างให้กับแหล่งท่องเที่ยวนั้น จะต้องมี marketing gimmick ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้สนใจมาเยือน หลายสถานที่ในญี่ปุ่นใช้ตัวการ์ตูนเป็นมาสคอตที่ทำให้ผู้คนจดจำสถานที่ได้เป็นอย่างดี ส่วนที่สวนสร้างสรรค์หัวซานนี้นั้น มีบ้านกลับหัวเป็นตัวชูโรงที่สำคัญ ที่นี่เคยเป็นโรงผลิตไวน์ของไต้หวันในช่วงทศวรรษ 1920 ขณะที่ปัจจุบัน โรงงานและโกดังก็ถูกรื้อสร้างปรับเปลี่ยนใหม่ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งใหม่ โดยมีทั้งร้านอาหาร, ผับบาร์, ร้านเสื้อผ้า, แกลเลอรี่ศิลปะ และสถานที่สำหรับจัดกิจกรรม ซึ่งถ้าจะเปรียบแล้ว ก็มีความคล้ายคลึงกับเอเชียทีคของกรุงเทพฯ ที่ผันตัวจากโกดังริมน้ำมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย

บ้านกลับหัวนี้สร้างเสร็จและเพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว โดยด้านนอกมีสีสันสดใส และเราสามารถเข้าชมการตกแต่งด้านใน พร้อมกับถ่ายรูปกับเฟอร์นิเจอร์ที่กลับหัวได้อีกด้วย ทั้งนี้ ที่ภูเก็ตก็มีบ้านตีลังกาที่เป็นบ้านในลักษณะกลับหัวแบบเดียวกันอยู่เช่นกัน


บ้านกลับหัวที่หัวซาน

การเดินทางมาที่หัวซาน 1914 นี้ สามารถนั่งรถไฟฟ้าสาย Nangang สีน้ำเงิน มาลงที่สถานี Zhong Xiao Xing Sheng จากทางออกหมายเลขหนึ่งก็เดินตรงมาหนึ่งช่วงตึกก็จะเห็นทางข้ามแยก ข้ามถนนมาก็จะเจอเลย

Jiufen

จิ่วเฟิ่นเป็นอีกจุดหมายที่นักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศต่างก็พร้อมใจเดินทางกันมาเยือน แต่ก่อนที่นี่เคยเป็นเหมืองทองคำขนาดใหญ่มาก่อน ในช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ก็มีการก่อสร้างโรงแรม, ค่ายเชลยสงครามไว้ ปัจจุบันโรงแรมบางส่วนก็ยังคงมีให้เห็น แต่เมื่อกองทัพญี่ปุ่นถอนกำลังออกจากเกาะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และเหมืองทองปิดตัวลงในช่วงทศวรรษที่ 1970 ก็ทำให้การพัฒนาด้านเศรษฐกิจของจิ่วเฟิ่นตกต่ำลง


วิวพาโนรามาของจิ่วเฟิ่น

ทว่าหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่อง A City of Sadness ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับวันสังหารหมู่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พรรคก๊กมินตั๋งสังหารพลเรือนนับหมื่นคนที่แสดงความไม่พอใจกับการถูกเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม โดยถ่ายทำกันที่จิ่วเฟิ่น ซึ่งตัวภาพยนตร์นั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก จนทำให้จิ่วเฟิ่นเริ่มฟื้นตัวกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ด้วยความที่ตัวอาคารแบบเก่าแก่ยังคงสภาพอยู่ ทำให้นักท่องเที่ยวได้หวนรำลึกถึงไต้หวันในยุคก่อนได้เป็นอย่างดี ที่นี่ยังมีโรงหนังเก่าที่ปรับมาเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมจัดแสดงโปสเตอร์หนังเก่าอีกด้วย

หากเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Spirited Away ของสตูดิโอจิบลี ก็อาจจะจำโรงอาบน้ำและโคมแดงกันได้ ว่ากันว่าตัวโครงสร้างของหมู่บ้านในภาพยนตร์นั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากจิ่วเฟิ่นนี่เอง ยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่นและจากหลากหลายประเทศรู้จักและอยากมาเยือนจิ่วเฟิ่นกันมากขึ้น จนปัจจุบันไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็จะเห็นนักท่องเที่ยวทุกมุมถนนกันเลยทีเดียว


ภูเขาซ้อนกันสุดสายตา

A-mei Tea House

สถานที่แนะนำของจิ่วเฟิ่น ก็คือ A-mei Tea House ร้านน้ำชาที่เหมือนกับโรงอาบน้ำของตัวละครยูบาบาในเรื่อง Spirited Away อย่างกับจับวาง ที่นี่มีระเบียงชั้นบนที่เปิดโล่ง ทำให้ได้เห็นมุมสวยเต็มตาของจิ่วเฟิ่นได้อย่างเต็มที่ และชาที่เสิร์ฟก็เป็นชาจีนคุณภาพดีที่ชงเสิร์ฟอย่างพิถีพิถัน เหมาะกับการนั่งชมวิวเป็นอย่างมาก

ร้านน้ำชาอาเหม่ยตั้งอยู่ที่ No. 20 Shixia Alley, Shuqi Rd., Ruifang District เว็บไซต์ amei-teahouse.com.tw/ehtml/index.php

การเดินทางมายังจิ่วเฟิ่นจากไทเป สามารถนั่งรถบัสสาย 1061 และ 1062 จากป้ายรถหน้าร้าน B.Mori ที่ No. 88, Sec. 1, Fuxing S. Rd. โดยเดินจากสถานีรถไฟฟ้า Zhongxiao Fuxing บริเวณนี้จะมีนักท่องเที่ยวมารอรถบัสสายเดียวกันอยู่พอสมควร

 

2. ไทจง

เดินทางออกจากกรุงไทเป มายังเมืองไทจง (Taichung) ด้วยรถไฟตรงดิ่งจากสถานี Songshan เราก็มาลงสถานี Taichung กันได้เลย โดยสามารถเลือกว่าจะนั่งรถไฟความเร็วสูง 1 ชั่วโมงครึ่ง หรือหวานเย็น 3 ชั่วโมง 15 นาที

เมืองไทจงนี้ ตั้งแต่สมัยแรกเริ่ม ก็เป็นที่ตั้งรกรากของชาวพื้นเมืองหลากหลายเผ่า ทั้ง Atayal, Babuza, Papora, Pazeh, Taokas และเมื่อถึงช่วงราชวงศ์ชิงของจีน เกาะไต้หวันส่วนใหญ่ก็ถูกยึดครอง และถูกแต่งตั้งเป็นแคว้นอิสระไต้หวันในปี 1885 โดยที่เมืองหลวงย้ายจากไทหนาน มาที่เมืองไทจง (สมัยนั้นเรียกว่าเมืองต้าตุ่น) ก่อนที่จะย้ายไปที่กรุงไทเปในอีกสี่ปีถัดมา ช่วงที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน เมืองบริเวณนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นไทจู และในช่วงสงครามเวียดนาม บริเวณนี้ได้กลายเป็นฐานกองกำลังการบินสหรัฐที่มีฝูงบินรบสำหรับโจมตีเวียดนาม, กัมพูชา และลาวในขณะนั้น ปัจจุบัน ไทจงถูกพัฒนาให้กลายเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมด้านการบริการเป็นหลัก ขณะที่บริเวณรอบนอกเป็นโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรหลากหลายชนิด

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในไทจงนั้น มีหลายที่ด้วยกัน อาทิเช่น

Fengjia Night Market

ตลาดกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะไต้หวัน และได้รับการรับรองจากรัฐบาลว่าเป็นพื้นที่ตลาดที่มีการบริหารจัดการดีเยี่ยมระดับ 4 ดาวแห่งแรกของไต้หวัน ซึ่งถ้าได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง ก็จะเห็นได้ว่าตัวตลาดนั้นดูสะอาดสะอ้าน และเป็นระเบียบเรียบร้อย สมกับที่ได้การรับรองจริง ๆ ที่นี่เป็นที่พึ่งหลักยามที่หิวเลยทีเดียว เพราะมีร้านอาหารน่าสนใจมากมาย

ที่ตั้ง: No. 440, Fuxing Rd, Xitun District


จุดสังเกตของตลาดคือร้านอาหารหน้ากากปีศาจและปลาหมึก

Luce Chapel

โบสถ์น้อยแห่งนี้ ตั้งอยู่ภายในบริเวณของมหาวิทยาลัยตุงไห่ (Tunghai University) โดยพิเศษตรงที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง I. M. Pei ที่เป็นผู้ออกแบบปิรามิดหน้าพิพิธภัณฑ์ลูฟว์ในกรุงปารีสนั่นเอง แม้ว่าโบสถ์แห่งนี้จะมีขนาดพื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ภายในก็ได้รับการออกแบบอย่างดี ให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม ด้วยเพดานที่ป้านขึ้นไปบรรจบด้านบน โดยมีแสงสาดส่องลงมาด้านล่าง และการก่อสร้างทั้งหมดไม่มีการใช้ตะปูแม้แต่เข็มเดียว โบสถ์น้อยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่บาทหลวง Henry W. Luce มิชชันนารีชาวอเมริกันที่เดินทางมาสอนศาสนาในจีนช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ทั้งนี้ ปกติแล้วตัวโบสถ์จะเปิดให้เข้าร่วมพิธีทางศาสนาในวันอาทิตย์ หรือโอกาสพิเศษที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางมหาวิทยาลัยเท่านั้น

ที่ตั้ง: No. 181, Sec. 3, Taiwan Boulevard, Xitun Dist


ตัวอาคารภายนอก


เพดานหลังคาจากด้านใน

National Taiwan Museum of Fine Arts

พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ที่ไทจงแห่งนี้มีขนาดใหญ่โต กินพื้นที่รวมกว่า 102,000 ตร.ม. จัดแสดงผลงานของศิลปินโมเดิร์นและศิลปินร่วมสมัยในไต้หวัน ในแต่ละปีมีผู้เข้าชมกว่า 1 ล้านคน และมีนิทรรศการหมุนเวียนจัดตลอดทั้งปี โดยในช่วงที่ไปนั้น มีจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการรีไซเคิลอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และผลกระทบของเทคโนโลยีต่อสภาพแวดล้อมของโลก ภายในนิทรรศการไม่สามารถถ่ายรูปได้

ที่ตั้ง: No. 2, Section 1, Wuchuan West Road, West District
เว็บไซต์: http://english.ntmofa.gov.tw/english/
ปิดวันจันทร์และวันหยุดตรุษจีน ไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด


ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งชาติ

Sun Moon Lake

นักท่องเที่ยวหลายคนที่ตั้งใจมายังไทจง อาจจะมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของไต้หวัน นั่นก็คือทะเลสาบสุริยันจันทรา หรือ Sun Moon Lake นั่นเอง

ทะเลสาบแห่งนี้เป็นแหล่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน มีพื้นที่กว่า 5.4 ตร.กม. เพราะภูมิประเทศด้านตะวันออกมีรูปร่างคล้ายพระอาทิตย์ และด้านตะวันตกเว้าเป็นเสี้ยวคล้ายพระจันทร์ บริเวณรอบทะเลสาบเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองชาวเซา (Thao) ที่มีเรื่องเล่าว่า บรรพบุรุษได้ไล่ล่ากวางสีขาวมาจนถึงทะเลสาบและพบเห็นปลาน้อยใหญ่มากมาย จึงได้ปักหลักถิ่นฐานกันที่นี่ โดยมีการสร้างรูปปั้นกวางสีขาวบนเกาะลาลูไว้เคารพสักการะในปัจจุบันอีกด้วย

เพื่อรักษาความสวยงามและธรรมชาติของทะเลสาบ ทางการจึงห้ามลงว่ายน้ำ (ยกเว้นช่วงเทศกาลว่ายน้ำประจำปีในช่วงไหว้พระจันทร์) และมีระเบียบบังคับการประกอบการเดินเรือโดยสารรอบทะเลสาบอย่างเคร่งครัด


ท่าเทียบเรือที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา

บริเวณโดยรอบ สามารถซื้อตั๋วเรือโดยสารที่จะพาไปยังแต่ละจุดรอบทะเลสาบ โดยเรือจะมาเป็นรอบ ๆ อยู่เรื่อย ๆ ทั้งวัน เราสามารถเดินชมได้ตามอัธยาศัย โดยไม่เร่งรีบ ทั้งนี้ มีสถานที่น่าเดินหลายจุดด้วยกัน เช่น วัดเหวินอู่ (Wen Wu Temple) ที่มีศาลเจ้ากวนอูและขงเบ้งอยู่ภายในวัด ที่นี่จะมีกระดิ่งสีทองจำหน่ายสำหรับเขียนคำอธิษฐานและแขวนตามราวบันไดที่มีอยู่ด้วยกัน 366 ขั้นตามวันเกิด

บรรดาร้านรวงต่าง ๆ รอบทะเลสาบ ถ้าสังเกตให้ดี ก็อาจจะเห็นว่าบางร้านจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกที่เกี่ยวกับชาวพื้นเมืองอยู่ด้วย ถ้าลองสอบถามดู ก็อาจจะได้ฟังเรื่องเล่าที่น่าสนใจของชาวเซา

สำหรับการเดินทางไปยังทะเลสาบสุริยันจันทรา ถ้าเดินทางจากกรุงไทเป ก็นั่งรถไฟมาลงที่ไทจง และซื้อตั๋วรถบัสที่สถานีได้เลย โดยตารางรอบรถ สามารถเช็คได้ที่เว็บ sunmoonlake.gov.tw สำหรับทริปนี้ โชคดีที่มีโฮสต์ Couchsurfing ท้องถิ่นซึ่งเคยรู้จักกันมาก่อนสมัยที่เขาเคยไปที่ยุโรป พาขับรถรับ-ส่ง พร้อมกับพาเดินและแนะนำเกี่ยวกับตัวสถานที่และร้านอาหาร


วิวทะเลสาบจากบริเวณวัดเหวินอู่


ศาลเจ้าขงเบ้งและกวนอู


กระดิ่งทองสำหรับเขียนคำอธิษฐาน

3. ฮั่วเหลียน

นอกจากสองเมืองใหญ่ ไทเป, ไทจง แล้ว ไต้หวันยังมีที่เที่ยวธรรมชาติที่น่าสนใจที่เมืองฮั่วเหลียน (Hualien) เมืองฮั่วเหลียนนั้นแต่เดิมมีชื่อว่า คิไร (Kiray) จากชื่อของชนเผ่าซาคิรายา (Sakiraya) ที่อาศัยในบริเวณนี้ แต่ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น คาเร็น ในช่วงที่ญี่ปุ่นปกครอง เพราะคำว่า ‘คิไร’ มีความหมายว่า เกลียดชัง ในภาษาญี่ปุ่น เมื่อพรรคก๊กมินตั๋งเข้ามาปกครองต่อหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองยุติ เมืองนี้ก็อ่านว่าฮั่วเหลียน ตามตัวอักษรคันจิของชื่อเมืองคาเร็น (花蓮) ในภาษาญี่ปุ่น

ในปัจจุบัน ฮั่วเหลียนมีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ราว 9,000 คน ทั้งชาวเผ่า Ami, Atayal, Bunun ซึ่งถือได้ว่าหนาแน่นที่สุดในเกาะไต้หวันเลยทีเดียว

ที่เมืองฮั่วเหลียนนี้ เราใช้เวลาพักอาศัยไม่นานนัก โดยได้รับคำแนะนำจากโฮสต์ Couchsurfing ให้เดินทางไปอุทยานแห่งชาติเป็นหลัก การเดินทางไปนั้นจะมีรถบัสจากบริเวณสถานีรถไฟ ซึ่งหลงหาอยู่นานเพราะป้ายต่าง ๆ เป็นภาษาจีน ผมต้องสอบถามผู้คนแถวนั้นอยู่นานหลายรอบเลยทีเดียว โดยรถบัสนั้นสามารถซื้อตั๋วได้ที่บริเวณอาคารสีส้มด้านนอกส่วนหน้าของสถานีรถไฟฮั่วเหลียน (สถานีรถบัส Jie’antehualian Station พิกัด GPS) ผมมัวแต่หลงหาอยู่ฝั่งด้านหลังสถานี ถึงว่าหาไม่เจอ

Taroko National Park

อุทยานแห่งชาติทาโรโกะถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของฮั่วเหลียน มีขนาดพื้นที่รวมราว 920 ตร.กม. ครอบคลุมอาณาบริเวณแคว้นไทจง, หนานโตว และฮั่วเหลียน ชื่ออุทยานฟังดูญี่ปุ่น เพราะในตอนเปิดทำการครั้งแรกเมื่อปี 1937 ชื่อเต็มคืออุทยานแห่งชาติซึจิทากะ ทาโรโกะ (Tsugitaka Taroko National Park) หลังจบสงครามโลกครั้งที่สอง อุทยานก็ปิดตัวลง จนกระทั่งมาเปิดทำการอีกครั้งในปี 1986

ชื่อทาโรโกะในภาษา Truku ของชนเผ่า Truku ที่อาศัยอยู่แถบนี้นั้น มีความหมายว่า ‘มนุษย์’ โดยมีที่มาจากการที่ชนเผ่าได้ร้องอุทานออกมาเมื่อครั้งที่เห็นลำน้ำสีฟ้าใสน่าตื่นตะลึงนั่นเอง

เนื่องจากตัวอุทยานแห่งชาตินี้มีขนาดกว้างใหญ่ อันดับแรกที่แนะนำ คือไปเริ่มต้นที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว ซึ่งจะมีรถบัสนำเที่ยวพาไปยังจุดต่าง ๆ ตามเส้นทางทั่วอุทยาน


อุทยานทาโรโกะปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียวครึ้มดูร่มรื่น

Shakadang Trail

สำหรับการเดินเขาแบบไม่ไกลนัก สามารถนั่งรถบัสสาย 1131 หรือ 1131A แล้วมาลงรถหลังจากเลยผ่านอุโมงค์ Shakadang บริเวณสะพาน เมื่อเดินลงมาด้านล่าง ก็จะเป็นต้นทางของเส้นทางเดินเลียบเชิงเขาริมแม่น้ำ เส้นทางนี้เป็นทางเดินสายหลักของอุทยานที่สร้างโดยบริษัทผลิตไฟฟ้า Liwu สมัยที่ญี่ปุ่นปกครอง และเป็นทางเดินหลักไปยังที่อาศัยของชนเผ่าต่าง ๆ รอบบริเวณนี้

หากต้องการจะเดินสำรวจให้ครบเส้นทางไปกลับ จะใช้เวลารวม 5 ชั่วโมง ระยะทาง 4.4 กม. ผ่านเคบิน 3D และ 5D ทางเดินไม่ชันวิวสวยตลอดเส้นทาง


ทางลงบันไดจากสะพานเพื่อเริ่มเดินเขา


ทางเดินเลาะไปตามเชิงเขา

Tian Xiang

แต่ก่อนที่นี่ชื่อว่า Tupido จากชื่อต้นชก (sugar palm) ท้องถิ่น ต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเพื่อรำลึกถึงเวิ่น เทียนเซียง วีรบุรุษผู้ต่อต้านทัพของกุบไลข่านในสมัยซ่ง บริเวณนี้เป็นที่พักผ่อนสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางในอุทยาน โดยมีทั้งร้านอาหาร, ลานจอดรถ, ป้ายรถบัส และโรงแรม โดยเฉพาะโรงแรม Silks Place Hotel ที่เป็นโรงแรมห้าดาวแห่งเดียวในอุทยาน นอกจากนี้ยังมีโบสถ์ และวัด Xiangde สำหรับสักการะรูปปั้นพระโพธิสัตว์อีกด้วย


วัดเซียงเต๋อมีเจดีย์เจ็ดชั้นและรูปปั้นพระโพธิสัตว์

4. ไทตง

ไทตงเป็นเมืองไกล ๆ ทางชนบทด้านตะวันออกของไต้หวัน มีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองหลังเขา หรือ โหวซาน (Houshan) เพราะมีภูเขากั้นระหว่างภูมิภาคตะวันออกและตะวันตกของเกาะไต้หวัน และเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากภูมิภาคอื่น จึงเป็นบริเวณสุดท้ายที่ชาวจีนฮั่นมายึดครองในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในขณะที่ฮั่วเหลียนมีประชากรชนพื้นเมืองมากที่สุด ที่ไทตงเองก็มีสัดส่วนชนพื้นเมืองต่อประชากรมากที่สุดในไต้หวัน ประมาณว่าทุก ๆ สามคนจะมี 1 คนเป็นชนพื้นเมืองเลยทีเดียว

ที่นี่โด่งดังในด้านบ่อน้ำพุร้อน แต่ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ อีก และถ้ามีเวลามากพอ สามารถเดินทางไปยังเกาะข้างเคียงอย่าง เกาะเขียว Ludao ที่เคยเป็นคุกขังนักโทษการเมืองมาก่อน และเกาะกล้วยไม้ Lanyu ที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองชาวเต๋าอีกด้วย

ไม่ไกลจากสถานีรถไฟไทตง มีที่พักในลักษณะ Bed & Breakfast เปิดตัวกันใหม่หลายที่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ราคาย่อมเยาและสะดวกในการเดินทางจากสถานี

Taitung Old Station

อดีตสถานีรถไฟของไทตง ปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานีรถบัสโดยสาร, ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวแทน บริเวณนี้มีห้างสรรพสินค้า, โรงภาพยนตร์, ร้านอาหาร และไม่ไกลจากนี้ ก็มีตลาดกลางคืนให้ได้เดินสำรวจอีกด้วย เรียกได้ว่าสามารถปักหลักเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินทางไปที่อื่น ๆ ในเมืองได้เป็นอย่างดี ข้อเสียของเมืองที่อยู่ไกลอย่างไทตง คือรถเมล์อำนวยความสะดวกมีรอบน้อยหรือไม่เชื่อมต่อในหลายจุด ทำให้ต้องพึ่งพาบริการแท็กซี่เป็นหลัก


ภายในศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวมีเรือของชนพื้นเมืองท้องถิ่นตั้งอยู่ด้วย

แนะนำร้านอาหารบรรยากาศดีใกล้กับสถานีเก่าแห่งนี้ Big Ö Pizzeria ที่มีพิซซ่าหลากรสชาติให้ได้เลือก พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก ที่ตั้งร้าน No. 405, Bo’ai Road, Taitung City อยู่ฝั่งตรงข้าม Taitung Story Museum ที่มีร้านหนังสือน่าเดินอยู่ด้วย


บรรยากาศในร้าน Big Ö Pizzeria

Hotel Royal Chihpen

บริเวณจิเปิ่น (บางแห่งจะสะกดว่า Zhiben, Chihpen หรือ Jhihben) มีบ่อน้ำพุร้อนที่ขึ้นชื่อ และโรงแรมบริเวณนี้ ก็สามารถเข้าไปใช้บริการสระและที่อาบน้ำส่วนรวมได้ ลักษณะคล้ายที่ญี่ปุ่น คือ แยกห้องชายหญิง มีล็อกเกอร์เก็บเสื้อผ้า, ส่วนอาบน้ำชำระร่างกายก่อนใช้บริการ ซึ่งมีบ่อควบคุมอุณหภูมิสามสี่บ่อ โดยส่วนหนึ่งดึงน้ำมาจากบ่อน้ำพุร้อนที่อยู่ใกล้เคียง พร้อมกับห้องไอน้ำและซาวน่า (www.hotelroyal.com.tw/chihpen/EN/facility.aspx?NO=918) หลังจากเที่ยวมาหลายวัน ให้รางวัลตัวเองด้วยการแช่น้ำอุ่นก็ช่วยให้ผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี


เก๋งจีนในสวนภายในโรงแรม

National Museum of Prehistory

น่าเสียดายว่าวันที่เดินทางไปเป็นวันจันทร์ที่พิพิธภัณฑ์ปิดพอดี แต่ที่นี่ก็น่าสนใจมาก เพราะระหว่างที่มีการขุดที่เพื่อก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ ก็ค้นพบซากโครงกระดูกและข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อนประวัติศาสตร์จำนวนมาก ทำให้นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันเข้ามาดำเนินการขุดเพิ่มเติมต่อ และต่อมาทางรัฐบาลก็ตัดสินใจพัฒนาพื้นที่ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โดยเฉพาะซากช่วงกลางยุคหินใหม่ที่ขุดค้นพบ

ที่ตั้ง: No. 1 Museum Rd., Taitung
เว็บไซต์: http://en.nmp.gov.tw

หลังจากเที่ยวไปสี่เมือง ก็คงได้เวลากลับเสียที สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเวลาที่พูดคุยเรื่องเกี่ยวกับไต้หวันกับคนท้องถิ่น หลายๆ ครั้งคงหนีไม่พ้นประเด็นละเอียดอ่อนเกี่ยวกับจีนแผ่นดินใหญ่ แม้จีนจะประกาศยึดนโยบายจีนเดียวตลอดมา โดยถือว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ชาวไต้หวันก็ต่างปฏิเสธเสียงแข็ง และยืนยันความเป็นเอกเทศของตนทั้งทางด้านภาษา (ไต้หวันเขียนภาษาจีนด้วยตัวดั้งเดิม – Traditional Chinese ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่เขียนตัวย่อ – Simplified Chinese และมีภาษาพูดท้องถิ่น จีนมินหนัน, จีนฮกเกี้ยน เป็นต้น) ศาสนาและวัฒนธรรม ที่ดูจะยังคงอนุรักษ์รักษาขนบธรรมเนียมของจีนดั้งเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่ปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ไปเมื่อหลายทศวรรษก่อน ถึงขนาดว่าคนไต้หวันบอกว่าสามารถแยกได้ว่าใครเป็นคนไต้หวัน ใครเป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ จากพฤติกรรมการแสดงออก ซึ่งก็มีส่วนจริงบ้าง เพราะผมทำงานและท่องเที่ยวที่จีนมาบ้าง ก็พอสังเกตเห็นความแตกต่าง ที่ชัดเจนคือ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่อายุเริ่มมาก มักจะทำอะไรฉับไวรวดเร็ว และพูดคุยกันฉะฉาน เสียงดังฟังชัด ต่างจากชาวไต้หวันที่จังหวะชีวิตเนิบช้า ถ้อยคำมีปราณีปราศัยกว่าบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะจริงเสียทั้งหมด เพราะระหว่างทริปนี้ก็ได้เห็นคนขับรถกับผู้โดยสารโต้เถียงกันถึงขนาดลุ้นว่าจะมีการถ่ายทอดสดมวยคู่หยุดรถกันหรือเปล่า


รถตู้โดยสารวิ่งในซอยเพื่อไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้า

นอกจากนี้ ยังสังเกตเห็นอีกว่า คนไต้หวันนิยมอ่านหนังสือมาก ร้านหนังสือหาได้ไม่ยาก และมีหนังสือใหม่ ๆ ตีพิมพ์ออกมาไม่ขาดสาย ทั้งที่เป็นหนังสือแปลหรือหนังสือจากนักเขียนไต้หวัน และร้านหนังสือก็มีคนเดินขวักไขว่ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่อยู่เรื่อย ๆ วัฒนธรรมการอ่านของไต้หวันนั้นน่าลอกเลียนแบบเป็นอย่างยิ่ง และถ้าได้ลองเปิดทีวีดู อาจจะเห็นว่าบางช่องเป็นช่องศาสนา ทั้งคริสต์, เต๋า, ฝ่าหลุนกง ความหลากหลายของประเพณีวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไต้หวันนั้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลสนับสนุนและส่งเสริมอย่างจริงจัง รถโดยสารและรถไฟฟ้าก็จะประกาศชื่อสถานีถึงสามสี่ภาษาด้วยกัน ทั้งภาษาจีน, อังกฤษ, จีนแคะ และภาษาอื่นตามประชากรในพื้นที่


ตู้ยืมคืนหนังสือที่สถานีรถไฟไทจง

เอาเป็นว่า ถ้าได้มีโอกาสไปเที่ยวไต้หวัน อย่าลืมพูดคุยกับคนไต้หวันเพื่อศึกษาทำความเข้าใจ และลองชิมอาหารท้องถิ่นกันดู แล้วจะรู้ว่าไต้หวันนั้นเป็นไข่มุกเม็ดงามที่น่าสัมผัสและเรียนรู้จริง ๆ

จบกันด้วยภาพอีกบางส่วนจากไต้หวัน


วัยรุ่นรวมตัวกันฝึกซ้อมดนตรีและการแสดงที่บริเวณด้านหน้าของคอนเสิร์ตฮอลในกรุงไทเป


นักดนตรีเล่นเพลงบริเวณด้านหลังสถานีไทจง


กีฬาเบสบอลเป็นกีฬายอดฮิตอันดับต้น ๆ ของคนไต้หวัน


ผู้สูงอายุรวมตัวกันเล่นหมากรุกอย่างสบายอารมณ์ที่ไทตง


ถึงเวลากลับ สนามบินที่ไทเปก็มีส่วนเช็คอินสำหรับสายการบินแห่งชาติ Eva Air ที่ร่วมมือกับแมวเหมียว Hello Kitty ได้อย่างน่ารักหวานแหว๋ว

Viroj currently works as a researcher within international economics at Lund University in Southern Sweden. A traveller with a burning passion for photography, he mainly takes photos with his medium-format digital camera, and now tries to limit his travel plans (with no success) to save up for a wide-angled lens. Viroj has a blond labrador retriever named Molly, who loves swimming at the beach near his home in Copenhagen, Denmark.

2 Comments

  • กฤษ

    เรียนทาง Culturecreatures ครับผม
    ขอบคุณสำหรับบทความครับ
    แต่มีบางส่วนต้องแก้ไข เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องนะครับเมื่อปีที่แล้ว ไต้หวัน ให้ Free Visa แค่กับ
    “ไทย และ บรูไน” ครับ อินโดนีเซีย ไม่ได้ครับ ส่วนฟิลิปปินส์ เป็น eVisa มิใช่ Free Visa แต่อย่างใด
    ขอบพระคุณครับ พอดีผมตรวจสอบงานมาด้านนี้ครับ

    • Cultured Creatures

      ขอบคุณคุณกฤษสำหรับข้อมูลนะครับ

Comments are closed.

Magazine made for you.