10 สุสาน น่าเที่ยวจากทั่วโลก
เมื่อพูดถึง สุสาน หรือ ป่าช้า หลายคนอาจคิดว่าเป็นสถานที่น่าขนลุกที่คนปรกติจะไม่ไปกัน แต่สำหรับบางคน หรือบางวัฒนธรรม สุสานคือสถานที่สวยงาม และ เงียบสงบ ที่เหมาะสำหรับการชื่นชมธรรมชาติ ศึกษาประวัติศาสตร์ ผ่านเรื่องราวชีวิตของผู้ล่วงลับ เรียนรู้วัฒนธรรมและศาสนา ผ่านงานศิลปะและสถาปัตยกรรม
บ่อยครั้งที่คนบ้านเราหลายคนเลือกที่จะ “หันหน้าหนี” จากเรื่องราวของ “ความตาย” ในขณะที่ในวัฒนธรรมอื่นโดยเฉพาะในตะวันตก จะให้ความสำคัญกับการ “ระลึกถึง” ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเสียมากกว่า จะเห็นได้ว่า “ป่าช้าไทย” ในความคิดของคนบ้านเรานั้นเป็นเพียงแหล่งรวมผี ที่คนพยายามหลีกเลี่ยง ในขณะที่ สุสานของวัฒนธรรมอื่นนั้น ถูกตั้งอยู่ใจกลางเมืองเพื่อใช้เป็นอนุสรณ์สถาน และเป็นเรื่องปรกติธรรมดา ที่คนจะเดินตัดสุสานเพื่อไปทำงาน หรือ เข้าไปเดินเล่นหาความสงบเหมือนกับไปสวนสาธารณะ ในหลายประเทศสุสานบางแห่งได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และนี่คือส่วนหนึ่งของสุสานที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลก ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักเดินทาง
Image credit: Chris Howarth / France / Alamy
Cimetière du Père-Lachaise – ปารีส, ประเทศฝรั่งเศษ
Cimetière du Père-Lachaise คือ สวนสุสานแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในกรุงปารีส และยังถือเป็นอนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกด้วย พื้นที่กว่า 118 เอเคอร์บนถนน Boulevard de Ménilmontant แห่งนี้เป็นที่ฝังศพของชนชั้นนำในปารีส รวมไปถึงนักคิด นักเขียน นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง นักแสดง และ ศิลปินระดับโลกมากมาย Chopin, Oscar Wilde, Georges Seurat, Camille Pissarro, Théodore Géricault, Sarah Bernhardt, Edith Piaf, หรือแม้แต่ Jim Morrison ล้วนหลับไหลอยู่ที่สุสานแห่งนี้
หนึ่งในหลุมศพที่มีชื่อเสียงของที่นี่ คือหลุมศพของ Victor Noir นักหนังสือพิมพ์ผู้ถูกยิงเสียชีวิต หลุมศพของ Noir เป็นรูปหล่อสำริดขนาดเท่าตัวจริงของเขาในท่านอน จุดสังเกตที่สำคัญของหลุมศพนี้ คือบริเวณเป้ากางเกงของ Noir ที่วาววับเนื่องจากความเชื่อที่ว่า หากลูบที่บริเวณเป้าของรูปหล่อของ Noir แล้วจะมีลูกดกหรือไม่เป็นหมัน ซึ่งความวาวของบริเวณนั้นแสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดีว่าชาวปารีสเชื่อเรื่องนี้แค่ไหน
Image credit: dominic dibbs / Alamy
Highgate Cemetery – ลอนดอน, ประเทศอังกฤษ
Highgate Cemetery คือ 1 ใน 7 สุสานที่เปิดขึ้นในศตวรรตที่ 19 หลังจากกรุงลอนดอนประสบปัญหาพื้นที่ฝังศพไม่เพียงพอ เนื่องจากการเจริญเติบโตของเมืองอย่างรวดเร็ว ทำให้จำนวนประชากรล้นเมือง สุสานแห่งนี้แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งตะวันตก และ ฝั่งตะวันออก โดยมีศพถูกฝังอยู่ที่นี่กว่า 170,000 ศพในช่วงเกือบ 200 ปีที่ผ่านมา
ทางฝั่งตะวันตก เป็นฝั่งที่สวยงามอลังการ เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมหลากหลาย ทั้งอนุสรณ์ในแบบยุควิคตอเรียน แท่งหินและหลุมศพแบบอียิปต์ หรือ Circle of Lebanon หลุมศพทรงกลมขนาดใหญ่ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของ Highgate Cemetery ส่วนทางฝั่งตะวันออก แม้จะไม่มีอนุสรณ์ขนาดใหญ่ แต่เป็นที่ตั้งของหลุมศพบุคคลสำคัญมากมาย อย่างเช่น Karl Marx บิดาแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์, George Eliot นักเขียนชื่อดังแห่งยุควิคตอเรียน และ Patrick Caulfield ศิลปิน Pop Art ชาวอังกฤษ
Image credit: GoPlaces / Alamy
Waverley Cemetery – ซิดนีย์, ประเทศออสเตรเลีย
สุสานริมผาแห่งเมืองซิดนีย์ ที่เรียงรายไปด้วยป้ายหลุมศพหินอ่อนสีขาวตัดกับสีน้ำเงินของท้องทะลที่เป็นฉากหลังแห่งนี้ เป็นหลุมฝังศพของชาวออสเตรเลียกว่า 80,000 หลุม ตั้งแต่เปิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1877 สุสาน Waverley เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่นิยมงานเขียน เนื่องจากนักเขียนและกวีชาวออสเตรเลียผู้มีชื่อเสียงในอดีตมากมายถูกฝังไว้ที่นี่ อย่างเช่น Dorothea Mackellar, Henry Lawson, Louis Beck, และ Victor Daley นอกเหนือจากการชื่นชมบรรยากาศของสุสานแล้ว ผู้เข้าชมยังสามารถเดินสำรวจเส้นทางริมผาที่ทอดตัวยาวไปจนถึงหาด Bondi ได้อีกด้วย
Okunoin Cemetery – ภูเขาโคยะ, ประเทศญี่ปุ่น
ภูเขาโคยะ (Mount Kōya หรือ Koyasan) คือ ภูเขาในจังหวัดวากายามะ ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ของชาวพุทธในญี่ปุ่นมาตั้งแต่ประมาณยุคปีค.ศ. 800 ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี ภูเขาแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนา นิกาย Shingon และเป็นที่ตั้งของสุสาน Okunoin ป่าช้าอายุหลายร้อยปีที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่พักพิงของดวงวิญญาณผู้ล่วงลับกว่า 200,000 ดวง รวมไปถึงหลุมฝังศพของ Kodo Daishi ผู้ก่อตั้งนิกาย Shingon อีกด้วย ที่นี่ต่างกับสุสานอื่นๆตรงที่เปิดให้คนมาเยี่ยมชมในเวลากลางคืนได้และยังมีบริการให้นอนที่วัด ภูเขาโคยะเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาคิอิ ซึ่งเป็นพื้นที่มรดกโลกที่ถูกขึ้นทะเบียนโดย UNESCO และเป็นเส้นทางจาริกแสวงบุญอันศักดิ์สิทธิ์ของนักบวชและผู้ศรัทธาในศาสนาพุทธอีกด้วย
Image credit: Sean Pavone / Alamy
Mount of Olives Cemetery – เยรูซาเล็ม, ประเทศอิสราเอล
หลายร้อยปีมาแล้ว ที่สุสานแห่งเขามะกอก หรือ Mount of Olives แห่งกรุงเยรูซาเล็ม ถือเป็นพื้นที่ฝังศพที่มีความสำคัญต่อชาวยิว ทั่วทั้งเนินเขาปกคลุมไปด้วยป้ายหลุมศพรูปทรงคล้ายโลงนับแสน (ศพจริงถูกฝังไว้ใต้ดิน) เรียงรายกันเป็นทิวแถว นอกจากนั้น ภูเขาแห่งนี้ยังมีความสำคัญทางคริสตศาสนา โดยในคัมภีร์ไบเบิ้ลได้กล่าวว่าพระเยซูเคยเดินลงจากเนินแห่งนี้เพื่อเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม ในวัน Palm Sunday ครั้งแรก ซึ่งเรื่องราวเล่าขานว่าพระเยซูได้โดนจับตัวที่สวน Gethsemane ที่ตีนเขาแห่งนี้นั่นเอง แต่ถึงแม้ใครไม่ใช่ชาวคริสต์ ก็ยังสามารถดื่มด่ำกับทัศนียภาพแบบพานอรามาของย่านเมืองเก่าแห่งเยรูซาเล็มได้จากบนยอดเขามะกอกแห่งนี้
Image credit: funkyfood London / Paul Williams / Alamy
Cimitirul Vesel – Săpânţa, ประเทศโรมาเนีย
เมื่อพูดถึงประเทศโรมาเนีย หลายคนคงนึกถึงผีดิบดูดเลือด แดร็กคูล่า หรือ บรรยากาศอันแสนมืดมนแบบยุคกลาง แต่ที่สุสาน Cimitirul Vesel แห่งเมือง Săpânţa นั้นกลับมีบรรยากาศที่ตรงกันข้ามกับความสยองขวัญอย่างสิ้นเชิง
Cimitirul Vesel เป็นภาษาโรมาเนีย แปลตรงตัวได้ว่า “สุสานรื่นเริง” บรรยากาศของที่นี่นั้นฉูดฉาดไปด้วยป้ายสุสานไม้และกางเขนสีสันสดใสที่สลักด้วยมืออย่างปราณีต ซึ่งแต่ละป้ายจะมีการสลักเสลาภาพของผู้ล่วงลับและเขียนกลอนถึงเรื่องราวของพวกเขาขณะยังมีชีวิตอยู่ในแบบเสียดสี ไม่ว่าผู้ตายจะเคยติดเหล้า เคยมีชู้ หรือทำอะไรไม่ดีไว้ ป้ายเหล่านี้จะนำเรื่องของผู้ตายแต่ละคนมาพูดถึงให้ฟังดูขำขัน ป้ายหลุมศพของสุสานแห่งนี้ทาสีน้ำเงินเป็นหลัก แทนสัญลักษณ์ของท้องฟ้า ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่ที่เชื่อว่าดวงวิญญาณจะล่องลอยไปสู่หลังจากได้ทิ้งร่างไปแล้ว
Katholische Pfarre Hallstatt – ฮัลล์สตัท, ประเทศออสเตรีย
บรรยากาศและทิวทัศน์อันแสนงดงามบริเวณริมทะเลสาบแห่งนี้ หากดูเผินๆแล้ว อาจจะคิดว่าที่นี่เป็นรีสอร์ท ซึ่งก็อาจจะไม่ได้ผิดไปนัก เพียงแต่ว่าผู้เข้าพักในรีสอร์ทนี้นั่นไม่มีชีวิตแล้วก็เท่านั้นเอง สุสานขนาดเล็กๆที่หมู่บ้านโบราณฮัลล์สตัทแห่งนี้ มีเอกลักษณ์ทางทัศนียภาพและวิธีการดูแลหลุมศพที่ต่างจากที่อื่น ศพที่ถูกฝังที่นี่จะไม่ได้ “พักผ่อนอย่างสงบ” เนื่องจากที่สุสานแห่งนี้ จะมีการขุดย้ายศพอยู่เรื่อยๆ เพื่อนำศพเก่าออกแล้วนำศพใหม่มาฝังแทน ด้วยสาเหตุที่มีพื้นที่ฝังศพจำกัด นอกจากนี้ในพื้นที่โบสถ์ St. Michael ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรตที่ 12 ยังมี “บ้านกระโหลก” (Beinhaus หรือ Bone House) สำหรับจัดเก็บและจัดแสดงหัวกระโหลกของผู้ล่วงลับกว่า 1,200 หัวโดยนำมาจัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ตลอดจนมีการวาดภาพลงสีและเขียนชื่อลงบนแต่ละกะโหลกอีกด้วย
Skogskyrkogården (Woodland Cemetery) – สตอกโฮล์ม, ประเทศสวีเดน
สุสานแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมื่อปี 1994 ด้วยความสวยงามทางสถาปัตยกรรมและพืชพรรณธรรมชาติ ที่นี่ไม่ได้มีอนุสาวรีย์หลุมศพบุคคลสำคัญอันสุดแสนอลังการ แต่เสน่ห์ของสุสานแห่งนี้คือความเรียบง่าย และความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีการปรุงแต่งอะไรให้วุ่นวาย ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศเหมือนกับสุสานกลางป่า ใครที่เป็นคอหนัง อาจจะคุ้นตากับสุสานแห่งนี้จากภาพยนต์เรื่อง The Girl Who Kicked the Hornets’ Nest (ภาคที่ 3 ของ The Girl With the Dragon Tattoo) ในฉากที่ Lisbeth Salander มาเยี่ยมหลุมศพแม่ของเธอ
Cementerio de la Recoleta – บัวโนสไอเรส, ประเทศอาร์เจนตินา
สุสานแห่งนี้ เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติที่ฝังศพบุคคลสำคัญและชนชั้นนำของประเทศอาร์เจนติน่ามาตั้งแต่ศตวรรตที่ 18 มีอดีตประธานาธิบดีมากมาย นายทหารระดับนายพล นักการเมือง เจ้าของรางวัลโนเบล และ ศิลปินหลายท่านถูกฝังอยู่ที่นี่ แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคงต้องยกให้หลุมศพของ Eva Perón หรือ Evita อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งของอาร์เจนติน่า ซึ่งแต่ละหลุมศพล้วนถูกสร้างขึ้นมาอย่างสวยงามปราณีต จนสุสานแห่งนี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของกรุงบัวโนสไอเรส ที่นักเดินทางมักจะแวะมาชมความงามและศึกษาประวัติศาสตร์ผ่านป้ายหลุมศพของเหล่าอดีตผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของประเทศเหล่านี้
Image credit: Randy Duchaine / Alamy
Green-Wood Cemetery – บรู๊คลิน นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
สุสาน Green-Wood ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมายาวนานตั้งแต่เปิดขึ้นในปีคศ. 1830 ที่นี่มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่งดงามเก่าแก่ และยังมีหลุมฝังศพของเหล่าคนดังแห่งนิวยอร์กในอดีตอย่าง Jean-Michel Basquiat ศิลปินกราฟฟิตี้, Leonard Bernstein นักประพันธ์ดนตรีเจ้าของผลงานจาก West Side Story รวมถึงเหล่าร้ายชื่อกระฉ่อนอย่าง “Boss” Tweed (William Magear Tweed) นักการเมืองฉ้อฉลผู้เคยกุมอำนาจอยู่เบื้องหลังเมืองนิวยอร์ก หรือ Bill “The Butcher” หัวหน้าแก๊งนิวยอร์กในยุคอันธพาลครองเมือง
นอกจากจะเป็นสุสานแล้ว Green-Wood ยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย ในสมัยสงครามปฏิวัติอเมริกา พื้นที่นี้เคยเกิดการต่อสู้ที่เรียกว่า “Battle of Brooklyn” ซึ่งปัจจุบันมีรูปปั้นเทพีแห่งโรมัน Minerva ซึ่งหากสังเกตดีๆ จะพบว่า มีข้างที่ยกอยู่ของ Minerva กำลังโบกให้กับเทพีเสรีภาพ ที่อีกด้านหนึ่งของเมือง
[hr align=”center” style=”dotted”]
Source: Conde Nest Traveler
Cover image credit: Sarah A.