หนึ่งวันครึ่งในนครแห่งสายน้ำ 50 Shades of Venice
เวนิสในหน้าหนาว สว่างช้า มืดเร็ว เวลาเที่ยวจึงน้อย แต่หารู้ไม่ว่าบรรยากาศในช่วงเช้าตอนหมอกลงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั้น จัดได้ว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ลืมไม่ลง ท่ามกลางนกพิราบนับร้อยที่บินไปมากลางลานจัตุรัสเซนต์มาร์ค (St. Mark’s Square) จะสัมผัสได้กับความโรแมนติกและความว้าเหว่ในเวลาเดียวกัน
เวนิส หรือ เวเนเซีย ที่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองเห่งสายน้ำ มีปริมาณน้ำฝนคงที่ตลอดทั้งปี เนื่องจากเป็นกลุ่มเกาะเล็กๆในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย เป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเดรียติก อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี การเดินทางจึงจะต้องอาศัยการเดิน และขึ้นเรือโดยสารเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่ขาดไม่ได้คงจะเป็น Google Map หรือแผนที่พกพาเนื่องจากเวนิสมีซอกเล็กซอกน้อยมาก อีกทั้งอาคารมีลักษณะและสีที่คล้ายกัน จนถึงสะพานจำนวนนับไม่ถ้วน ที่จะทำให้หลงได้ง่ายๆ
Cafe Florian
เริ่มต้นหนึ่งวันครึ่งที่เวนิสด้วยการเติมพลังในยามเช้าที่ Cafe Florian ตั้งอยู่ในบริเวณจัตุรัสเซนต์มาร์ค ราคาค่อนข้างจะสูง แต่ถ้าแลกกับบรรยากาศตกแต่งภายในร้าน กับอาหารดีๆ ก็ถือว่าคุ้มทีเดียว
คาเฟ่นี้เริ่มกิจการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1720 ถือได้ว่าเป็นร้านกาแฟที่ยังคงเปิดกิจการมาถึงปัจจุบัน ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คาเฟ่แห่งนี้ยังเป็นร้านประจำที่พักผ่อนของนักเขียนชื่อดังอย่าง Casanova เนื่องจากในสมัยก่อนคาเฟ่นี้เป็นที่เดียวที่อนุญาตในผู้หญิงเข้าได้ จนภายหลัง Charles Dickens และ Lord Byron (ผู้เขียน Don Juan) ก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำอีกด้วย
เมนูของทางร้านมีให้เลือกตั้งแต่อาหารเช้าแบบธรรมดา (แซนด์วิช ครัวซองต์ หรือคีช) จนกระทั่งแบบหรู ที่มีทั้งขนมปัง ผลไม้ บราวนี่ พร้อมเครื่องดื่ม จัดมาเป็นชุดในลักษณะของ afternoon tea สำหรับสองท่าน ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มทานตรงไหนก่อนจริงๆ
[su_gmap width=”1600″ address=”Cafe Florian, Venice, Italy”]Cafe Florian[/su_gmap]
Murano
หลังจากเติมพลังยามเช้ากันเรียบร้อย เราจะใช้เวลาหนึ่งวันแรกไปต่อกันที่เกาะบริเวณใกล้ๆส่วนหลักของเวนิส ซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับสักพัก และที่แรกก็คือเกาะมูราโน่ (Murano Island) สามารถนั่งเรือได้จากท่าที่จัตุรัสเซนต์มาร์ค นั่งเรือเบอร์ 2 ไปยังท่า Ferrovia (S. Lucia) “D” เพื่อเปลี่ยนเรือเป็นเบอร์ 3 ไปยังสถานี Murano Venier หรืออีกทางเลือกก็คือ เดินไปยังท่า F.te Nove “B” เพื่อขึ้นเรือหลายเลข 4.1, 4.2 หรือ 13 ไปเกาะมูราโน่ โดยทั้งสองทางนี้จะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง
เกาะมูราโน่มีลักษณะคล้ายตัวเมืองเวนิส แต่จะเงียบและเล็กกว่า ที่นี่จะดังในด้านงานแก้ว ไม่ว่าจะเป็น กระจก โคมไฟระย้า ลูกปัดแก้ว หรือ แก้วเงา (goldstone glass) ก็มีให้เลือกชม ซื้อเป็นของที่ระลึก
สีสันของอาคารที่นี่จะเป็นโทนสีร้อน ที่ค่อนข้างจะซีดไปตามกาลเวลา แต่จะมีร้านค้าเล็กๆขายของที่ระลึก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องประดับและของตกแต่งบ้านที่ทำมาจากแก้ว ที่ไม่ว่าดูหลายร้านแล้วก็ยังไม่เบื่อ นอกจากนี้ ตรงบริเวณ หอนาฬิกา city centre ยังมีงานแก้วสีฟ้าอันใหญ่ตั้งอยู่ข้างทางน้ำ ถ้ามาเกาะมูราโน่แล้ว รูปปั้นนี้ก็คงถือเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยทีเดียว
[su_gmap width=”1600″ address=”Murano, Venice, Italy”]Murano[/su_gmap]
Burano
ต่อกันด้วยที่เกาะบูราโน่ (Burano Island) ถัดมาจากเกาะมูราโน่ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นั่งเรือเบอร์ 12 จากสถานี Murano Faro M/N ไปยัง Burano SX per F. te Nove ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง
ในด้านชื่อเสียงเกาะบูราโน่จะดัง และมีนักท่องเที่ยวเยอะกว่าเกาะมูราโน่มาก เนื่องจากสีสันของอาคารที่เป็นจุดเด่นของบูราโน่ โดยในสมัยก่อนนั้น เจ้าของบ้านของแต่ละอาคารจะต้องส่งคำร้องไปหารัฐบาลว่าอยากจะทาสีบ้าน แล้วผู้ยื่นคำร้องก็จะสามารถทาสีบ้านได้ตามที่รัฐบาลได้ระบุตอบกลับมาเท่านั้น จึงเป็นที่มาทำให้เกาะแห่งนี้มีอาคารสีสันดั่งลูกกวาด เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กชื่อดังของอิตาลีเลยทีเดียว
นอกจากวิวสวยๆให้ได้ชม สำหรับใครที่ไม่ได้แวะเกาะมูราโน่ก่อน ก็สามารถซื้องานเครื่องแก้วของมูราโน่ได้ที่นี่เช่นกัน
ระหว่างที่รอเรือโดยสารกลับเวนิส เบอร์ 14 หน้าท่าเรือ Burano SX per F. te Nove ที่จะพานำกลับไปยังจัตุรัสเซนต์มาร์ค แนะนำให้ลองซื้อ กุ้งและปลาหมึกทอดขายอยู่หน้าท่าเรือมาลองทานดูกับซอสมะเขือเทศ ถึงแม้จะมาจานใหญ่แต่ก็หมดภายใน 5 นาทีได้ เพราะอาหารสดใหม่อร่อยจริงๆ
[su_gmap width=”1600″ address=”Burano, Venice, Italy”]Burano[/su_gmap]
Piazza San Marco
ลานจัตุรัสเซนต์มาร์ค (Piazza San Marco หรือ St. Mark’s Square) อยู่ทางตอนใต้ของเมืองเวนิส และเราจะเริ่มครึ่งวันที่เหลือในเวนิสกันที่นี่
จัตุรัสแห่งนี้ในช่วงตอนเช้าของหน้าหนาวแทบจะไร้วี่แววผู้คน แลดูพื้นที่ของลานใหญ่ขึ้นมาผิดหูผิดตาเลยทีเดียว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับใครที่ต้องการรูปเดี่ยว ไม่มีการแย่งซีนมาจากนักท่องเที่ยวข้างหลัง
รอบๆจัตุรัสจะมีอาคารล้อมสามทิศ มีทางเดินรอบ เป็นเอกลักษณ์ด้วยประตูโค้งสไตล์ Romanesque นับร้อย ส่วนด้านหลังโค้งเหล่านี้ก็จะเป็นที่ตั้งของร้านค้าต่างๆ รวมไปถึง Cafe Florian ที่ได้แนะนำไปก่อนหน้านี้อีกด้วย และในชั้นสอง ด้านทิศตะวันตกของจัตุรัสก็จะเป็น พิพิธภัณฑ์ Correr จัดแสดงงานของศิลปินชาวเวนิส
เมื่อเดินตรงเข้ามาจนเกือบสุดลาน และเลี้ยวไปทางด้านขวา หรือบริเวณหน้า Dodges Palace และ Grand Canal จะมีเสาแกรนิตสองต้นตั้งตระหง่าน โชว์อาณาเขตของเวนิสอยู่ เสาทั้งสองต้นนี้ถูกนำมาวางไว้ตั้งแต่ปีคริสตศักราชที่ 12 โดยรูปปั้นบนเสาทั้งคู่จะหันหน้าออกไปจากเมือง นอกจากจะเป็นเขตแบ่งระหว่าง Grand Canal กับตัวเมืองแล้ว เสาทั้งสองนี้ก็ยังเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษในสมัยก่อนอีกด้วย
รูปปั้นทางด้านขวาถ้ามองจากตัวเมืองออกไป ก็คือเซนต์ธีโอดอร์ (St Theodore) ซึ่งเป็นนักบุญที่คุ้มครองเวนิสก่อนหน้าเซนต์มาร์ค บนรูปปั้นเซนต์ธีโอดอร์จะยืนอยู่บนจระเข้ ที่เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แทนมังกรที่ นักบุญท่านนี้ได้สังหาร และเสาอีกต้นทางด้านซ้ายก็คือ สิงโตมีปีกแห่งเวนิส (The Lion of Venice) หรือสัญลักษณ์ของเซนต์มาร์คที่คอยคุ้มครองเมืองอยู่
และสิ่งเกือบสุดท้ายที่ไม่น่าจะมีใครพลาดได้ง่ายๆในบริเวณจัตุรัสเซนต์มาร์คนั้นก็คือ St Mark’s Basilica หรือมหาวิหารเซนต์มาร์คนั่นเอง
รูปร่างหน้าตาภายนอกของโบสถ์นี้ ค่อนข้างจะแตกต่างจากโบสถ์ในเมืองมิลานหรือฟลอเรนซ์เนื่องจากสไตล์การออกแบบแบบ Byzantine ซึ่งจะใช้สีทองและโมเสกในการตกแต่งเยอะ เพื่อบ่งบอกถึงความมั่งคั่งของเวนิสตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 11 ตรงตัวโดมของโบสถ์จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับส่วนบนทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ถ้าวันไหนอากาศดีพระอาทิตย์ส่องตอนเย็นๆก็คงจัดเป็นวิวที่น่าประทับใจไม่น้อยกับโมเสกสีทองด้านหน้าของโบสถ์ที่ตัดกับท้องฟ้าสีคราม
[su_gmap width=”1600″ address=”Piazza San Marco, Venice, Italy”]Piazza San Marco[/su_gmap]
Campanile di San Marco
Campanile di San Marc คือหอระฆังสีน้ำตาลที่มีความสูงเกือบ 100 เมตร เยื้องไปทางด้านขวาของมหาวิหารเซนต์มาร์ค ลักษณะดีไซน์ของหอระฆังแห่งนี้ค่อนข้างจะเรียบง่ายด้วยการใช้อิฐเป็นโครงสร้างหลัก แต่หารู้ไม่ว่าด้านในมีลิฟท์ให้บริการ เพื่อขึ้นไปดูวิวแบบ 360 องศา
ขอเตือนว่าถ้าใครไม่ชอบเสียงดัง อย่างเสียงก้องกังวานจากระฆังบนยอดหอทั้งห้าใบ แนะนำให้เลี่ยงขึ้นหอระฆังตอนเกือบครบชั่วโมงพอดี และควรจะไปหอระฆังแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงคิวซื้อบัตรและขึ้นลิฟท์ ส่วนค่าเข้าราคา 8 ยูโรก็สามารถซื้อได้ด้านในก่อนขึ้นลิฟท์ ส่วนเวลาทำการ แนะนำว่าให้เช็คออนไลน์ ที่นี่ ก่อน เนื่องจากเวลาทำการของหอจะเปลี่ยนตามฤดู
[su_gmap width=”1600″ address=”Campanile di San Marco, Venice, Italy”]Campanile di San Marco[/su_gmap]
Gondola Ride
และก่อนจะจากเวนิสไป ก็คงเรียกว่ามาไม่ถึงที่นี่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ลองนั่งเรือกอนโดล่า หรือเรือโดยสารที่มีคนแจวท้องถิ่นจากเวนิสเท่านั้น ในสมัยก่อนนั้นเรือกอนโดล่าเป็นยานพาหนะทางน้ำที่ใช้กันอย่างทั่วไป ภายใน Grand Canal แต่ ณ ปัจจุบัน เหลือเรือที่ยังให้บริการอยู่ประมาณ 400 ลำสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
การจะเป็นคนแจวเรือกอนโดล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ว่าเป็นใครก็ทำได้ เนื่องจากก่อนที่จะมาทำอาชีพนี้ได้ กอนโดเลีย (Gondolier) จะต้อง ผ่านการทดสอบความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเวนิส และที่เที่ยวต่างๆภายในตัวเมือง รวมไปถึงภาษาอังกฤษหรืออื่นๆที่ใช้ในยุโรป หรือแม้กระทั่งการทดสอบร่างกาย ที่จะสามารถบังคับเรือและพานักท่องเที่ยวเที่ยวรอบเมืองได้อย่างปลอดภัย กอนโดเลียจะต้องเป็นคนท้องถิ่นของเวนิส ต้องพูดภาษาเวนิซได้อาชีพนี้สามารถสืบทอดกันมาในครอบครัวเท่านั้นจึงถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก
เนื่องจากเรือกอนโดล่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเวนิส อาจจะต้องจองเรือออนไลน์ไว้ก่อนไป หรือแนะนำว่าให้ไปตอนเช้าก่อน 11 โมงในหน้าหนาว ขึ้นจากทางน้ำเล็กๆใกล้กับจัตุรัสเซนต์มาร์ค ในช่วงเวลานักท่องเที่ยวน้อย กอนโดเลียอาจลดราคาจากปกติ 80 ยูโรต่อ 40 นาทีเหลือ 60 ยูโร และในหนึ่งลำสามารถขึ้นได้ไม่เกินหกคน
ภายใน 40 นาที กอนโดเลียจะพาเลาะทางน้ำเล็กทะลุไปยัง Railto Bridge และผ่าน Grand Canal กลับไปยังจุดที่ขึ้น ระหว่างทางกอนโดเลียก็จะหน้าที่เหมือนไกด์นำทัวร์ อธิบายประวัติอาคารสำคัญต่างๆ และจะสังเกตได้ว่าตามแยกจะมีกระจกจราจรติดไว้ เปรียบเสมือนจราจรบนบก สิ่งเล็กๆน้อยๆที่จะสัมผัสได้เมื่อลองมานั่งเองเท่านั้น
[su_gmap width=”1600″ address=”Grand Canal, Venice, Italy”]Grand Canal[/su_gmap]
Tiramisu
ทีรามิสุของหวานอิตาเลี่ยนที่ควรทานเมื่อมาถึงเจ้าถิ่นทั้งที ที่ร้าน I Tre Mercanti ก่อนจะลาเวนิส ที่นี่มีเมนูทีรามิสุให้เลือกถึง 25 รส ไม่ว่าจะเป็นรสกาแฟออริจินัลหรือแบบฟิวชัน แต่แนะนำว่ารสกาแฟแบบออริจินัลค่อนข้างจะแรงพอสมควร สำหรับคนที่ไม่ชอบกาแฟจะแนะนำว่าให้ลองทานรสสตรอว์เบอรี่หรือ ช็อกโกแลตนูเทลล่า ในร้านมีโต๊ะให้ยืนรับประทานหรือสามารถซื้อกลับไปทานที่โรงแรม ภายในร้านยังมีวัตถุดิบอาหารอิตาเลียนแพคอย่างดีให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย
[su_gmap width=”1600″ address=”I Tre Mercanti, Venice, Italy”]I Tre Mercanti[/su_gmap]