หนึ่งวันครึ่งในนครแห่งสายน้ำ 50 Shades of Venice

เวนิสในหน้าหนาว สว่างช้า มืดเร็ว เวลาเที่ยวจึงน้อย แต่หารู้ไม่ว่าบรรยากาศในช่วงเช้าตอนหมอกลงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั้น จัดได้ว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ลืมไม่ลง ท่ามกลางนกพิราบนับร้อยที่บินไปมากลางลานจัตุรัสเซนต์มาร์ค (St. Mark’s Square) จะสัมผัสได้กับความโรแมนติกและความว้าเหว่ในเวลาเดียวกัน

italy-116

italy-164

italy-137

italy-83

เวนิส หรือ เวเนเซีย ที่รู้จักกันดีว่าเป็นเมืองเห่งสายน้ำ มีปริมาณน้ำฝนคงที่ตลอดทั้งปี เนื่องจากเป็นกลุ่มเกาะเล็กๆในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย เป็นส่วนหนึ่งของทะเลเอเดรียติก อยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี การเดินทางจึงจะต้องอาศัยการเดิน และขึ้นเรือโดยสารเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่ขาดไม่ได้คงจะเป็น Google Map หรือแผนที่พกพาเนื่องจากเวนิสมีซอกเล็กซอกน้อยมาก อีกทั้งอาคารมีลักษณะและสีที่คล้ายกัน จนถึงสะพานจำนวนนับไม่ถ้วน ที่จะทำให้หลงได้ง่ายๆ

italy-80

italy-81

italy-82

italy-146

italy-148

italy-117


Cafe Florian

เริ่มต้นหนึ่งวันครึ่งที่เวนิสด้วยการเติมพลังในยามเช้าที่ Cafe Florian ตั้งอยู่ในบริเวณจัตุรัสเซนต์มาร์ค ราคาค่อนข้างจะสูง แต่ถ้าแลกกับบรรยากาศตกแต่งภายในร้าน กับอาหารดีๆ ก็ถือว่าคุ้มทีเดียว

italy-140

คาเฟ่นี้เริ่มกิจการตั้งแต่ปี ค.ศ. 1720 ถือได้ว่าเป็นร้านกาแฟที่ยังคงเปิดกิจการมาถึงปัจจุบัน ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คาเฟ่แห่งนี้ยังเป็นร้านประจำที่พักผ่อนของนักเขียนชื่อดังอย่าง Casanova เนื่องจากในสมัยก่อนคาเฟ่นี้เป็นที่เดียวที่อนุญาตในผู้หญิงเข้าได้ จนภายหลัง Charles Dickens และ Lord Byron (ผู้เขียน Don Juan) ก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำอีกด้วย

italy-207

Processed with VSCOcam with hb2 preset

เมนูของทางร้านมีให้เลือกตั้งแต่อาหารเช้าแบบธรรมดา (แซนด์วิช ครัวซองต์ หรือคีช) จนกระทั่งแบบหรู ที่มีทั้งขนมปัง ผลไม้ บราวนี่ พร้อมเครื่องดื่ม จัดมาเป็นชุดในลักษณะของ afternoon tea สำหรับสองท่าน ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มทานตรงไหนก่อนจริงๆ

[su_gmap width=”1600″ address=”Cafe Florian, Venice, Italy”]Cafe Florian[/su_gmap]


Murano

หลังจากเติมพลังยามเช้ากันเรียบร้อย เราจะใช้เวลาหนึ่งวันแรกไปต่อกันที่เกาะบริเวณใกล้ๆส่วนหลักของเวนิส ซึ่งจะต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับสักพัก และที่แรกก็คือเกาะมูราโน่ (Murano Island) สามารถนั่งเรือได้จากท่าที่จัตุรัสเซนต์มาร์ค นั่งเรือเบอร์ 2 ไปยังท่า Ferrovia (S. Lucia) “D” เพื่อเปลี่ยนเรือเป็นเบอร์ 3 ไปยังสถานี Murano Venier หรืออีกทางเลือกก็คือ เดินไปยังท่า F.te Nove “B” เพื่อขึ้นเรือหลายเลข 4.1, 4.2 หรือ 13 ไปเกาะมูราโน่ โดยทั้งสองทางนี้จะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง

italy-88

italy-86

italy-95

italy-97

เกาะมูราโน่มีลักษณะคล้ายตัวเมืองเวนิส แต่จะเงียบและเล็กกว่า ที่นี่จะดังในด้านงานแก้ว ไม่ว่าจะเป็น กระจก โคมไฟระย้า ลูกปัดแก้ว หรือ แก้วเงา (goldstone glass) ก็มีให้เลือกชม ซื้อเป็นของที่ระลึก

italy-104
สีสันของอาคารที่นี่จะเป็นโทนสีร้อน ที่ค่อนข้างจะซีดไปตามกาลเวลา แต่จะมีร้านค้าเล็กๆขายของที่ระลึก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องประดับและของตกแต่งบ้านที่ทำมาจากแก้ว ที่ไม่ว่าดูหลายร้านแล้วก็ยังไม่เบื่อ นอกจากนี้ ตรงบริเวณ หอนาฬิกา city centre ยังมีงานแก้วสีฟ้าอันใหญ่ตั้งอยู่ข้างทางน้ำ ถ้ามาเกาะมูราโน่แล้ว รูปปั้นนี้ก็คงถือเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยทีเดียว

[su_gmap width=”1600″ address=”Murano, Venice, Italy”]Murano[/su_gmap]


Burano

ต่อกันด้วยที่เกาะบูราโน่ (Burano Island) ถัดมาจากเกาะมูราโน่ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นั่งเรือเบอร์ 12 จากสถานี Murano Faro M/N ไปยัง Burano SX per F. te Nove ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

italy-104

ในด้านชื่อเสียงเกาะบูราโน่จะดัง และมีนักท่องเที่ยวเยอะกว่าเกาะมูราโน่มาก เนื่องจากสีสันของอาคารที่เป็นจุดเด่นของบูราโน่ โดยในสมัยก่อนนั้น เจ้าของบ้านของแต่ละอาคารจะต้องส่งคำร้องไปหารัฐบาลว่าอยากจะทาสีบ้าน แล้วผู้ยื่นคำร้องก็จะสามารถทาสีบ้านได้ตามที่รัฐบาลได้ระบุตอบกลับมาเท่านั้น จึงเป็นที่มาทำให้เกาะแห่งนี้มีอาคารสีสันดั่งลูกกวาด เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กชื่อดังของอิตาลีเลยทีเดียว

italy-103

italy-99

italy-98

นอกจากวิวสวยๆให้ได้ชม สำหรับใครที่ไม่ได้แวะเกาะมูราโน่ก่อน ก็สามารถซื้องานเครื่องแก้วของมูราโน่ได้ที่นี่เช่นกัน

ระหว่างที่รอเรือโดยสารกลับเวนิส เบอร์ 14 หน้าท่าเรือ Burano SX per F. te Nove ที่จะพานำกลับไปยังจัตุรัสเซนต์มาร์ค แนะนำให้ลองซื้อ กุ้งและปลาหมึกทอดขายอยู่หน้าท่าเรือมาลองทานดูกับซอสมะเขือเทศ ถึงแม้จะมาจานใหญ่แต่ก็หมดภายใน 5 นาทีได้ เพราะอาหารสดใหม่อร่อยจริงๆ

italy-113

italy-106

italy-109

[su_gmap width=”1600″ address=”Burano, Venice, Italy”]Burano[/su_gmap]


Piazza San Marco

ลานจัตุรัสเซนต์มาร์ค (Piazza San Marco หรือ St. Mark’s Square) อยู่ทางตอนใต้ของเมืองเวนิส และเราจะเริ่มครึ่งวันที่เหลือในเวนิสกันที่นี่

italy-126

จัตุรัสแห่งนี้ในช่วงตอนเช้าของหน้าหนาวแทบจะไร้วี่แววผู้คน แลดูพื้นที่ของลานใหญ่ขึ้นมาผิดหูผิดตาเลยทีเดียว เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับใครที่ต้องการรูปเดี่ยว ไม่มีการแย่งซีนมาจากนักท่องเที่ยวข้างหลัง

italy-131

italy-157

italy-151
รอบๆจัตุรัสจะมีอาคารล้อมสามทิศ มีทางเดินรอบ เป็นเอกลักษณ์ด้วยประตูโค้งสไตล์ Romanesque นับร้อย ส่วนด้านหลังโค้งเหล่านี้ก็จะเป็นที่ตั้งของร้านค้าต่างๆ รวมไปถึง Cafe Florian ที่ได้แนะนำไปก่อนหน้านี้อีกด้วย และในชั้นสอง ด้านทิศตะวันตกของจัตุรัสก็จะเป็น พิพิธภัณฑ์ Correr จัดแสดงงานของศิลปินชาวเวนิส

เมื่อเดินตรงเข้ามาจนเกือบสุดลาน และเลี้ยวไปทางด้านขวา หรือบริเวณหน้า Dodges Palace และ Grand Canal จะมีเสาแกรนิตสองต้นตั้งตระหง่าน โชว์อาณาเขตของเวนิสอยู่ เสาทั้งสองต้นนี้ถูกนำมาวางไว้ตั้งแต่ปีคริสตศักราชที่ 12 โดยรูปปั้นบนเสาทั้งคู่จะหันหน้าออกไปจากเมือง นอกจากจะเป็นเขตแบ่งระหว่าง Grand Canal กับตัวเมืองแล้ว เสาทั้งสองนี้ก็ยังเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษในสมัยก่อนอีกด้วย

italy-134

italy-136

italy-153

รูปปั้นทางด้านขวาถ้ามองจากตัวเมืองออกไป ก็คือเซนต์ธีโอดอร์ (St Theodore) ซึ่งเป็นนักบุญที่คุ้มครองเวนิสก่อนหน้าเซนต์มาร์ค บนรูปปั้นเซนต์ธีโอดอร์จะยืนอยู่บนจระเข้ ที่เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์แทนมังกรที่ นักบุญท่านนี้ได้สังหาร และเสาอีกต้นทางด้านซ้ายก็คือ สิงโตมีปีกแห่งเวนิส (The Lion of Venice) หรือสัญลักษณ์ของเซนต์มาร์คที่คอยคุ้มครองเมืองอยู่

และสิ่งเกือบสุดท้ายที่ไม่น่าจะมีใครพลาดได้ง่ายๆในบริเวณจัตุรัสเซนต์มาร์คนั้นก็คือ St Mark’s Basilica หรือมหาวิหารเซนต์มาร์คนั่นเอง

italy-128

italy-162

รูปร่างหน้าตาภายนอกของโบสถ์นี้ ค่อนข้างจะแตกต่างจากโบสถ์ในเมืองมิลานหรือฟลอเรนซ์เนื่องจากสไตล์การออกแบบแบบ Byzantine ซึ่งจะใช้สีทองและโมเสกในการตกแต่งเยอะ เพื่อบ่งบอกถึงความมั่งคั่งของเวนิสตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 11 ตรงตัวโดมของโบสถ์จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับส่วนบนทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ถ้าวันไหนอากาศดีพระอาทิตย์ส่องตอนเย็นๆก็คงจัดเป็นวิวที่น่าประทับใจไม่น้อยกับโมเสกสีทองด้านหน้าของโบสถ์ที่ตัดกับท้องฟ้าสีคราม

[su_gmap width=”1600″ address=”Piazza San Marco, Venice, Italy”]Piazza San Marco[/su_gmap]


Campanile di San Marco

Campanile di San Marc คือหอระฆังสีน้ำตาลที่มีความสูงเกือบ 100 เมตร เยื้องไปทางด้านขวาของมหาวิหารเซนต์มาร์ค ลักษณะดีไซน์ของหอระฆังแห่งนี้ค่อนข้างจะเรียบง่ายด้วยการใช้อิฐเป็นโครงสร้างหลัก แต่หารู้ไม่ว่าด้านในมีลิฟท์ให้บริการ เพื่อขึ้นไปดูวิวแบบ 360 องศา

italy-160

ขอเตือนว่าถ้าใครไม่ชอบเสียงดัง อย่างเสียงก้องกังวานจากระฆังบนยอดหอทั้งห้าใบ แนะนำให้เลี่ยงขึ้นหอระฆังตอนเกือบครบชั่วโมงพอดี และควรจะไปหอระฆังแต่เช้าเพื่อหลีกเลี่ยงคิวซื้อบัตรและขึ้นลิฟท์ ส่วนค่าเข้าราคา 8 ยูโรก็สามารถซื้อได้ด้านในก่อนขึ้นลิฟท์ ส่วนเวลาทำการ แนะนำว่าให้เช็คออนไลน์ ที่นี่ ก่อน เนื่องจากเวลาทำการของหอจะเปลี่ยนตามฤดู

italy-163

italy-155

italy-158

[su_gmap width=”1600″ address=”Campanile di San Marco, Venice, Italy”]Campanile di San Marco[/su_gmap]


Gondola Ride

และก่อนจะจากเวนิสไป ก็คงเรียกว่ามาไม่ถึงที่นี่ไม่ได้ ถ้าไม่ได้ลองนั่งเรือกอนโดล่า หรือเรือโดยสารที่มีคนแจวท้องถิ่นจากเวนิสเท่านั้น ในสมัยก่อนนั้นเรือกอนโดล่าเป็นยานพาหนะทางน้ำที่ใช้กันอย่างทั่วไป ภายใน Grand Canal แต่ ณ ปัจจุบัน เหลือเรือที่ยังให้บริการอยู่ประมาณ 400 ลำสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ

italy-115

italy-119

italy-150

italy-143

การจะเป็นคนแจวเรือกอนโดล่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ว่าเป็นใครก็ทำได้ เนื่องจากก่อนที่จะมาทำอาชีพนี้ได้ กอนโดเลีย (Gondolier) จะต้อง ผ่านการทดสอบความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเวนิส และที่เที่ยวต่างๆภายในตัวเมือง รวมไปถึงภาษาอังกฤษหรืออื่นๆที่ใช้ในยุโรป หรือแม้กระทั่งการทดสอบร่างกาย ที่จะสามารถบังคับเรือและพานักท่องเที่ยวเที่ยวรอบเมืองได้อย่างปลอดภัย กอนโดเลียจะต้องเป็นคนท้องถิ่นของเวนิส ต้องพูดภาษาเวนิซได้อาชีพนี้สามารถสืบทอดกันมาในครอบครัวเท่านั้นจึงถือเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก

italy-141

italy-210

italy-147

เนื่องจากเรือกอนโดล่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเวนิส อาจจะต้องจองเรือออนไลน์ไว้ก่อนไป หรือแนะนำว่าให้ไปตอนเช้าก่อน 11 โมงในหน้าหนาว ขึ้นจากทางน้ำเล็กๆใกล้กับจัตุรัสเซนต์มาร์ค ในช่วงเวลานักท่องเที่ยวน้อย กอนโดเลียอาจลดราคาจากปกติ 80 ยูโรต่อ 40 นาทีเหลือ 60 ยูโร และในหนึ่งลำสามารถขึ้นได้ไม่เกินหกคน

italy-144

italy-142

ภายใน 40 นาที กอนโดเลียจะพาเลาะทางน้ำเล็กทะลุไปยัง Railto Bridge และผ่าน Grand Canal กลับไปยังจุดที่ขึ้น ระหว่างทางกอนโดเลียก็จะหน้าที่เหมือนไกด์นำทัวร์ อธิบายประวัติอาคารสำคัญต่างๆ และจะสังเกตได้ว่าตามแยกจะมีกระจกจราจรติดไว้ เปรียบเสมือนจราจรบนบก สิ่งเล็กๆน้อยๆที่จะสัมผัสได้เมื่อลองมานั่งเองเท่านั้น

[su_gmap width=”1600″ address=”Grand Canal, Venice, Italy”]Grand Canal[/su_gmap]


Tiramisu

ทีรามิสุของหวานอิตาเลี่ยนที่ควรทานเมื่อมาถึงเจ้าถิ่นทั้งที ที่ร้าน I Tre Mercanti ก่อนจะลาเวนิส ที่นี่มีเมนูทีรามิสุให้เลือกถึง 25 รส ไม่ว่าจะเป็นรสกาแฟออริจินัลหรือแบบฟิวชัน แต่แนะนำว่ารสกาแฟแบบออริจินัลค่อนข้างจะแรงพอสมควร สำหรับคนที่ไม่ชอบกาแฟจะแนะนำว่าให้ลองทานรสสตรอว์เบอรี่หรือ ช็อกโกแลตนูเทลล่า ในร้านมีโต๊ะให้ยืนรับประทานหรือสามารถซื้อกลับไปทานที่โรงแรม ภายในร้านยังมีวัตถุดิบอาหารอิตาเลียนแพคอย่างดีให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย

italy-228

[su_gmap width=”1600″ address=”I Tre Mercanti, Venice, Italy”]I Tre Mercanti[/su_gmap]

A wanderer currently studying fashion communication in London. A lover of beautiful places, food, and Korean dramas. Nikon f100 and Nikon d750. Takes photograph for her own pleasure. thestylenocturne.blogspot.com

Magazine made for you.