7 ที่น่าเที่ยวแบบ “ป่าสู่เมือง” สำหรับนักเดินทางที่รักธรรมชาติ
ด้วยชีวิตที่เร่งรีบ วุ่นวายของสังคมเมือง การเดินทางออกไปสัมผัสธรรมชาติ จึงอาจฟังดูยาก และกินเวลา ในความคิดของบางคน ซึ่งนั่นคือหนึ่งในเหตุผลหลัก ของโครงการสร้างพื้นที่สีเขียวต่างๆ ที่ต้องการสร้างสมดุล ให้กับสิ่งแวดล้อม และ เสริมสร้างจินตนาการ ให้กับคนเมือง เพราะ ธรรมชาติ คือ สิ่งสำคัญต่อชีวิต ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ หรือหลงลืมไปว่าตัวเราเองนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่มนุษย์จะรู้สึกผ่อนคลายโดยอัตโนมัติ เมื่อได้อยู่ใกล้ผืนป่าและพันธุ์ไม้ หรือแม้แต่พื้นที่สีเขียวที่ถูกสร้างขึ้นในเขตชุมชนเมือง
สถานที่สำคัญหลายแห่งตามมหานครทั่วโลก ทั้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว พื้นที่สาธารณะ และอาคารพาณิชย์ต่างๆ ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ และนำเอาพืชพันธุ์ไม้เข้ามาผสานกับสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในรูปแบบ “ป่าสู่เมือง” เพื่อเพิ่มพื้นที่ธรรมชาติให้กับป่าคอนกรีตของมนุษย์ ซึ่งหลายแห่งก็ได้กลายเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชมได้ถึงปีละหลักแสนหลักล้านคนเลยทีเดียว
1. High Line – นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
หนึ่งแลนด์มาร์กร่วมสมัยอันโด่งดังของมหานครนิวยอร์ก ที่เปลี่ยนรางรถไฟสายเก่าความยาวกว่า 2 กิโลเมตร ที่เลิกใช้งานไปตั้งแต่ค.ศ. 1980 ให้เป็นสวนสาธารณะลอยฟ้า
พันธุ์ไม้ที่ปลูกบน High Line ถูกเลือกมาโดยเฉพาะ เพื่อให้มีความคล้ายคลึงกับพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ สมัยที่นี่ยังเป็นรางรถไฟร้างอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นต้นหญ้าหรือไม้พุ่มพันธุ์ท้องถิ่น ทำให้ High Line ยังคงเสน่ห์แบบรกร้างที่เป็นเอกลักษณ์เอาไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็เพิ่มสีเขียวให้กับเมืองได้อย่างกลมกลืน
นอกจากที่นิวยอร์ก ยังมีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่มีโครงการปรับภูมิทัศน์เมืองในลักษณะใกล้เคียงกัน ที่กรุงโซลก็กำลังมีโครงการที่นำทางด่วนเก่าส่วนที่รกร้าง มาเปลี่ยนเป็นสวนทางเดินลอยฟ้า เชื่อมต่อส่วนต่างๆของเมืองด้วยธรรมชาติ บนพื้น 9,661 ตารางเมตร ความยาว 938 เมตร โดยสวนนี้จะมีชื่อว่า Seoul Skygarden
2. Kopparberg Urban Forest – ลอนดอน สหราชอาณาจักร
Kopparberg เป็นชื่อเมือง และ ชื่อแบรนด์เครื่องดื่มไซเดอร์อันดับหนึ่งจากประเทศสวีเดน ซึ่งจัดเทศกาลดนตรีป่าในเมือง Kopparberg Urban Forest ขึ้นที่ย่าน Hackney Wick ในลอนดอน ต่อเนื่องยาวนานถึง 5 สัปดาห์ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2015 ที่ผ่านมา
ความตั้งใจของเทศกาล Kopparberg Urban Forest คือเพื่อสร้างสีสันให้กับช่วง summer ในลอนดอน ให้ผู้คนได้สัมผัสถึงเอกลักษณ์ของวิถีธรรมชาติแบบสวีเดน ในเทศกาลที่มีธีมเป็นบรรยากาศแบบป่าสนสแกนดิเนเวียน ที่นี่ผู้ร่วมเทศกาลจะได้ดื่มไซเดอร์ลูกแพร์จากสวีเดน และสนุกกับศิลปินอินดี้และดีเจที่มีชื่อเสียงมากมาย ในโรงไม้และบาร์ไม้ pop-up ของป่ากลางกรุงที่ถูกเนรมิตขึ้นใจกลางย่านชุมชนของลอนดอน
[su_gmap width=”1600″ address=”Hackney Wick Overground station”][/su_gmap]
3. ACROS – ฟุกุโอกะ ญี่ปุ่น
ACROS คืออาคารศูนย์วัฒนธรรมนานาชาติประจำเมืองฟุกุโอกะ ที่ปลูกพันธุ์ไม้นานาชนิดกว่า 50,000 ต้นบนพื้นที่นอกอาคาร 15 ชั้นแห่งนี้ ที่ถูกสีเขียวปกคลุมทั้งอาคารจนดูจากระยะไกลคล้ายกับภูเขากลางเมือง ทำให้นอกจากอาคารนี้จะมีประโยชน์ใช้สอยหลากหลาย เป็นที่ตั้งของ Fukuoka Symphony Hall มีโรงละคร พิพิธภัณฑ์ ห้องจัดการประชุม และร้านค้าแล้ว ยังตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชนที่ต้องการพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เหล่านกและแมลงในแถบนี้ยังได้ประโยชน์จากการใช้พื้นที่ธรรมชาติบริเวณนี้เป็นที่พักอาศัยอีกด้วย
ACROS มีจุดชมวิวบนยอดของอาคาร ที่เปิดให้สามารถขึ้นไปได้ในวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุด ด้วยบันไดที่ลัดเลาะผ่านธรรมชาติราวกับเดินขึ้นเขาอยู่ในป่า และด้วยความที่อยู่ใกล้จากสถานีรถไฟ Tenjin ในระยะเดินเพียง 4 นาที ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ควรแวะมาเที่ยวซักครั้ง ทั้งของเมืองฟุกุโอกะ และ เกาะคิวชู
[su_gmap width=”1600″ address=”ACROS, fukuoka”][/su_gmap]
4. Invernadero de Atocha – มาดริด สเปน
เป็นเรื่องปรกติที่เราจะเห็นกระถางต้นไม้ถูกวางประดับ ตามชานชะลาสถานีรถไฟ แต่ไม่ใช่สำหรับสถานี Atocha เมืองมาดริด เพราะที่นี่นำพันธุ์ไม้ของป่าเขตร้อนกว่า 260 ชนิด จำนวนมากกว่า 7,200 ต้นมาปลูกเป็นสวนพฤกษชาติขนาดกว่า 4,000 ตารางเมตรไว้ใจกลางสถานี Estación de Atocha สร้างความร่มรื่นและแปลกตาให้กับผู้สัญจรไปมาผ่านสถานีแห่งนี้
Invernadero de Atocha แปลตรงตัวได้ว่า “เรือนต้นไม้อโตชา” (Atocha’s Greenhouse) สวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ค.ศ. 1992 พันธุ์ไม้ที่ปลูกอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นพืชเมืองร้อนที่ถูกนำมาจากทั่วโลก อเมริกา ออสเตรเลีย เอเซีย อินเดีย และ จีน สัญลักษณ์สำคัญของสวนแห่งนี้ คือต้น Ravenala ขนาดใหญ่จากเกาะมาดากัสการ์ หรือที่มีฉายาว่า “ต้นปาล์มของนักท่องเที่ยว” (Traveller’s palm) ซึ่งตั้งตระหง่านทำหน้าที่ต้อนรับนักเดินทางที่นั่งรถไฟมาถึงสถานีแห่งนี้ ว่ากันว่า ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของที่นี่ ระยะหลังจึงมีคนแอบนำสัตว์เลี้ยงเขตร้อน อย่างพวกเต่าและปลามาปล่อยทิ้งที่นี่เสมอ
[su_gmap width=”1600″ address=”Invernadero de Atocha”][/su_gmap]
5. The Southern Ridges – สิงค์โปร์
ถึงแม้ประเทศจะเล็ก ถึงแม้ป่าคอนกรีตจะเป็นแกนหลักของวิถีชีวิต แต่สิงค์โปร์ก็ให้ความสำคัญในการผสานธรรมชาติ เข้าสู่รูปแบบชีวิตของสังคมเมืองที่นี่ Southern Ridges คือโครงสร้างทางเดินตามแนวธรรมชาติ ระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร ที่ทางหน่วยงานพัฒนาผังเมือง หรือ Urban Redevelopment Authority ของประเทศสิงคโปร์ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อสวน 3 แห่งทางตอนใต้ของเกาะ คือ Mount Faber Park, Telok Blangah Hill Park และ Kent Ridge Park เข้าด้วยกัน ถือเป็นสถานที่น่าเที่ยวสำหรับคนที่รักธรรมชาติ และอยากชมทัศนียภาพเมือง และ ทิวทัศน์ของหมู่เกาะและอ่าวทางใต้
ที่นี่มีสถาปัตยกรรมโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์หลายแห่ง เช่น Alexandra Arch, Forest Walk และ Henderson Waves สามารถเริ่มต้นเดินได้จากหลายจุด ใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ มาเดินออกกำลังแบบใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่ควรพลาดที่จะเดินทางมาที่ Southern Ridges ดูซักครั้ง
[su_gmap width=”1600″ address=”The Southern Ridges, Singapore”][/su_gmap]
6. Waldspirale – ดาร์มสตัดท์ เยอรมนี
อาคารสีรุ้ง ที่ปกคลุมด้วยพืชป่านานาพรรณ ใจกลางเมือง Darmstadt แห่งนี้ มีชื่อว่า Waldspirale แปลตรงตัวได้ว่า forest spiral หรือ “ป่าหมุนวน” อาคารที่พักอาศัยแห่งนี้เป็นผลงานการออกแบบของ Friedensreich Hundertwasser ศิลปิน และ สถาปนิกธรรมชาตินิยมชาวออสเตรีย ผู้หลงใหลเส้นโค้ง แต่เกลียด “เส้นตรง” ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นเส้นสายการวาดแบบติดกฎเกณฑ์ของคนขี้ขลาด ผิดศีลธรรม ไร้ซึ่งศรัทธา และ เป็นเครื่องมือของปีศาจร้าย
Waldspirale มีความสูง 12 ชั้น ประกอบไปด้วยห้องพัก 105 ห้อง หน้าต่าง 1000 บานซึ่งออกแบบมาแตกต่าง ไม่ซ้ำกันแม้แต่บานเดียว นอกจากผู้เช่าอาศัยที่เป็นคนแล้ว ที่นี่ยังเป็นบ้านของพรรณไม้มากมาย ซึ่งถูกปลูกให้เป็นสวนดาดฟ้า ไล่ตั้งแต่ชั้นล่างของอาคาร ลาดเอียงขึ้นสู่ชั้นบนสุด ซึ่งเป็นคาเฟ่และบาร์ ที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปดื่มและชมทิวทัศน์ได้ ราวกับอยู่บนยอดเขากลางเมืองเลยทีเดียว
[su_gmap width=”1600″ address=”Waldspirale, germany”][su_gmap address=”The High Line”][/su_gmap]
7. Torre Guinigi – ลุกกา อิตาลี
Torre Guinigi หรือ หอคอย Guinigi ตั้งตระหง่านอยู่ที่ Lucca เมืองเก่าแก่ในแคว้น Tuscany ซึ่งถึงแม้จะไม่โดดเด่นเท่า Florence หรือ Siana แต่ก็ถือเป็นอีกเมืองที่มีชื่อเสียงในยุคเรอเนสซองซ์ และยังมีอายุยาวนานนับพันปีย้อนไปถึงยุคโรมัน
หอคอยความสูง 125 ฟุตแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1384 หรือกว่า 630 ปีก่อนโดยตระกูล Guingi ผู้ปกครองเมือง เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่ง และยังเพื่อใช้เป็นหอสังเกตการณ์ระวังภัย สวนลอยฟ้าชั้นบนสุดของยอดหอคอย มีต้นโอ๊คสูงใหญ่เติบโตอยู่ ดูจากระยะไกลแล้วดูคล้ายกับเป็นมงกุฎต้นไม้ของหอคอยแห่งนี้ก็ว่าได้ การจะขึ้นไปบนยอดได้ ผู้มาเยี่ยมชมต้องเดินขึ้นบันได 230 ขั้น เพื่อที่จะได้ชมทิวทัศน์จากยอด ซึ่งมองเห็นแนวกำแพงเมืองเก่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองมาตั้งแต่ยุคเรอเนสซองซ์
[su_gmap width=”1600″ address=”Torre Guinigi, Italy”][/su_gmap]
นอกเหนือจากการ “นำป่ามาสู่เมือง” แล้ว เรายังสามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้ยิ่งขึ้น ด้วยการ “นำป่ามาสู่บ้าน” สร้างความร่มรื่นให้บริเวณที่พักอาศัย ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่ หรือใช้วัสดุธรรมชาติ อย่างเช่นไม้เนื้อจริงในการตกแต่ง เพื่อเพิ่มสัมผัสที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ หรือถ้าจะให้ง่ายไปกว่านั้น อาจลองหา terrarium หรือ glasshouse ขนาดเล็กมาประดับห้อง เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชีวิตประจำวัน ให้เราได้หลบลี้หนีความวุ่นวายของชีวิตเมืองหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง
ขอขอบคุณ glasshouse สวยๆจากโครงการ ARDEN by ANANDA ที่มาช่วยเติมจินตนาการ เพิ่มความสดชื่นให้กับออฟฟิสของ Cultured Creatures สำหรับใครที่กำลังมองหาโครงการ urban home สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ananda.co.th/register/arden