เชียงใหม่ Road Trip เที่ยวป่าสนบ้านวัดจันทร์ อ.กัลยาณิวัฒนากับ Forza 300
ไม่ใช่เพราะคำคมท่องเที่ยวเท่ๆ อย่าง “Life is a journey, not a destination” ที่ทำให้เราอยากออกเดินทาง road trip สั้นๆในครั้งนี้ แต่เป็นเพราะการใช้ชีวิตในเมืองนานๆ ที่บางครั้งก็สูบพลังกาย พลังใจ ให้หดหายไปเยอะอยู่เหมือนกัน ประกอบกับความรู้สึกโหยหาธรรมชาติของบ้านเรา ที่แม้อยู่ใกล้แต่เหมือนไกล เพราะปล่อยให้อยู่นอกสายตาไปนาน พอจัดเวลาว่างได้ 2-3 วัน พวกเราจึงขับ big scooter คันใหม่ออกเดินทางไปแคมป์ปิ้งกันอย่างไม่รีรอ
เป้าหมายของเราคือการขี่ Forza 300 ไป road trip สั้นๆ ระยะทางไม่เกิน 500 กิโลเมตร เพื่อหาที่ตั้งแคมป์ในพื้นที่ธรรมชาติซักแห่งเงียบๆ ปลีกวิเวกจากเมืองใหญ่ซัก 2-3 วัน หลังจากหาข้อมูลเส้นทางในบริเวณเชียงใหม่ เราก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางไปอําเภอกัลยาณิวัฒนา พื้นที่ชายขอบด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ของชาวปกาเกอะญอ (หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า “กะเหรี่ยง” ซึ่งเป็นภาษาไม่สุภาพ) ที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ บ้านวัดจันทร์ หรือ ป่าสนวัดจันทร์
เส้นทางไปบ้านวัดจันทร์ คือเส้นเดียวกับทางขึ้นปาย (เส้นทางหมายเลข 1095 แม่มาลัย-ปาย) แต่จะต้องแยกไปทางเส้น 1265 ช่วงก่อนถึงปายประมาณ 11 กม. แล้ววิ่งข้ามเขาต่อไปอีกราว 45 กม. ถ้าใครคิดว่าทางขึ้นปายต้องผ่านโค้งเยอะจนคลื่นไส้แล้ว เส้นทางไปบ้านวันจันทร์เรียกได้ว่าเพิ่มเข้าไปอีกเกือบครึ่ง นับรวมระยะทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ได้ประมาณ 170 กม. ถือว่าไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ด้วยเส้นทางที่คดเคี้ยวขึ้นเขา ทำให้ต้องใช้เวลาราว 4-5 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย (หากใครจะเดินทางไปที่บ้านวัดจันทร์แนะนำให้ออกเช้าหรือไม่เกินเที่ยง เผื่อเวลาเดินทางกันด้วย เพราะพอค่ำแล้ว ตามถนนจะไม่มีไฟฟ้าเลย)
ระหว่างเส้นทางขึ้นปายที่คดเคี้ยว เราเจอะเจอเพื่อนร่วมทางมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติบ้าพลัง ที่เช่ามอเตอร์ไซค์เล็ก มาพร้อมกับเป้แบ็คแพ็คใบโต และยังมีนักปั่นสายฮาร์ดคอร์ ที่ปั่นหมอบขึ้นปาย (ขนาดมอเตอร์ไซค์ยังใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง ปั่นหมอบขึ้นจะนานขนาดไหน น่านับถือพลังใจจริงๆ) ส่วนตัวเราคิดว่าเส้นทางขึ้นเขาไม่เหมาะกับมอเตอร์ไซค์เครื่องเล็กๆเท่าไหร่ เห็นแล้วยังแอบกลัวแทนว่ารถเช่าจะพังเอา เพราะทางบางช่วงแย่มาก ปิดถนนซ่อมแซมหลายจุด ในช่วงกลางฤดูฝนแบบนี้ คนสติดีๆคงไม่คิดจะขี่ฝ่าฝนกันขึ้นมาหรอกถ้าไม่ชัวร์กับรถจริงๆ ส่วนพวกเราหายห่วง เพราะขับ Forza 300 ซึ่งเป็น big scooter สำหรับ touring โดยเฉพาะ วิ่งนิ่ม เกาะถนนหนึบ ขนาดฝนตกยังเข้าโค้ง 100 กม./ชม.ได้สบายๆ ถึงในช่วงนี้หลายคนจะนิยม road trip ด้วยรถบ้านหรือรถตู้ฮิปๆแต่งพิเศษสำหรับเที่ยว แต่สำหรับเราคิดว่ามอเตอร์ไซค์ตอบโจทย์เรื่องความคล่องตัวมากกว่า โดยเฉพาะเส้นทางภูเขาแบบนี้ ขี่สนุกจนลืมเวลาไปเลย
หลังจากแยกมาเข้าเส้นทาง 1265 มุ่งหน้าบ้านวัดจันทร์ ระหว่างที่วิ่งไปได้ซัก 10 กม. เราก็เห็นควันกลุ่มใหญ่พวยพุ่งขึ้นจากพื้นดิน มองไกลๆนึกว่าคนเผาหญ้า แต่พอขี่มาถึงใกล้ๆ ปรากฏว่าเป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติ เดือดปุดๆอยู่ริมถนน เราเลยจอดแวะดู แล้วถือโอกาสพักรถไปในตัว
บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ได้ 2 ปี มีชื่อเรียกง่ายๆว่า “บ่อน้ำร้อนบ้านเหมืองแร่” เนื่องจากในอดีตแถบนี้เคยมีการทำเหมืองฟลูออไรด์ และเช่นเดียวกับบ่อน้ำพุร้อนแห่งอื่นๆ ในประเทศไทย ที่นี่ก็มีไข่ขาย ให้นักเดินทางที่ผ่านไปผ่านมา แวะต้มไข่ออนเซ็น กินรองท้องกัน ทั้งไข่ไก่ ไข้นกกระทา คุณป้าที่ขายไข่บอกเราว่าวันนั้นที่เราผ่านไป เป็นวันครบรอบ 2 ปีที่น้ำพุเกิดปะทุขึ้นมาพอดี (บังเอิญจริงๆ) คุณป้าเลยเล่าให้ฟังต่ออีกว่าแต่ก่อนการไฟฟ้าเคยมาขุดสำรวจที่นี่เมื่อปีพ.ศ. 2536 หลังจากนั้น 20 ปี น้ำพุร้อนก็ได้เกิดปะทุขึ้นมาเมื่อเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2556 จนชาวบ้านมาพบ ที่นี่จึงได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ขึ้นมา แล้วเราก็บังเอิญผ่านมาในวันครบรอบพอดิบพอดี
วิ่งไปบนเส้น 1265 ซักพักก็จะเริ่มเข้าเขตป่าสน บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนจากป่าดิบ แบบช่วงต้นทางขึ้นปาย มาเป็นป่าสนโปร่งๆ สลับกับพื้นที่เพาะปลูกพืชตลอดทั้งเส้นทาง ที่เจอบ่อยที่สุดดูเหมือนจะเป็นไร่ถั่ว ซึ่งปลูกกันเป็นทุ่งกว้างใหญ่ไพศาลทั่วหุบเขา บางช่วงระหว่างทางเราได้กลิ่นหอมเบอร์รี่ลอยมาเตะจมูก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าชาวบ้านแถบนี้ปลูกอะไรกันบ้าง แต่กลิ่นแถวนี้ดีมากๆ ทั้งกลิ่นดิน กลิ่นพืชผล รวมถึงกลิ่นฝนที่โปรยปรายลงมาเป็นระยะ บรรยากาศแบบนี้ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการขี่มอเตอร์ไซค์ touring ที่ถึงแม้จะไม่สะดวกเท่านั่งรถ แต่ก็ทำให้ได้รับรู้แต่ละความรู้สึกผ่านสัมผัสต่างๆของร่างกายตนเองอยู่ตลอดเวลา
เมื่อมาถึงเขตพื้นที่บ้านวัดจันทร์ เราก็เลี้ยวเข้าไปพักกันบริเวณริมอ่างเก็บน้ำห้วยอ้อ ซึ่งอยู่ติดกับโครงการหลวงบ้านวัดจันทร์ (อ.อ.ป) ในช่วงฤดูหนาวอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ ถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมใบไม้เปลี่ยนสีและทิวสนในม่านหมอกยามเช้า แต่พวกเรามากันในช่วงกลางฤดูฝน เลยไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นเลยแม้แต่ชีวิตเดียว จะเจอแต่คนท้องถิ่นที่เข้ามาตกปลา เก็บเห็ด บรรยากาศช่วงที่เราไปจึงเงียบสงบส่วนตัว เข้าทางเป็นที่สุด เราจึงจัดแจงกางเต๊นท์ ต้มกาแฟ ทำอาหารทาน พักผ่อนกันได้เต็มที่แบบไม่ต้องเกรงใจใครนัก
เช้าวันต่อมา เราเข้าไปที่ตัวเมืองเพื่อสักการะวัดจันทร์ วัดเก่าแก่ที่มีชื่อเดียวกับอำเภอ (ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอกัลยาณิวัฒนา ที่นี่ชื่ออำเภอวัดจันทร์) พระอุโบสถของวัดจันทร์มีลักษณะพิเศษที่ดูคล้ายกับใส่แว่นกันแดด ทำให้คนเรียกกันว่า “วิหารแว่นตาดำ” หรือ “วิหารเรย์แบน” ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับการที่ประตูวิหารหันหน้าไปทางทิศตะวันออกหรือไม่ แต่ก็ดูแล้วเก๋ไก๋โดดเด่นดี นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระธาตุวัดจันทร์ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน
หลังจากนั้นเราก็เลยไปเติมน้ำมันที่ปั๊มเล็กๆในหมู่บ้าน และได้พูดคุยกับหนุ่มวัยรุ่นท้องถิ่น 2 คนที่เข้ามาทักทายเรา คนที่โตกว่าถามเราอย่างยิ้มแย้มพร้อมกับหยีตาดูดบุหรี่ด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อย “นี่มากันจากไหนครับเนี่ย ขึ้นไปไหว้พระธาตุกันมารึยังครับ” ด้วยความที่พวกเรามาแบบไร้แผน ข้อมูลไม่แน่นเท่าไหร่ จึงถามกลับไปว่าพระธาตุอะไร ตั้งอยู่ที่ไหน พอเขาได้ยินดังนั้นจึงยิ้มเยาะ หัวเราะเบาๆตอบว่า “หูยยย ขอโทษเถอะนะ ขออู้คำเมืองหน่อยเถอะ ถ้ามาถึงบ้านวัดจันทร์แล้วไม่ขึ้นไปไหว้พระธาตุนี่ถือว่าเลวมากๆ” (เลวของเขาหมายถึงแย่ ไม่ได้เรื่อง ในที่นี้คงหมายถึง เรียกได้ว่ามาไม่ถึงบ้านวัดจันทร์อย่างแท้จริง) พูดจบเขาก็ปาบุหรี่ลงพื้นแล้วพูดขึ้นว่า “มา! ตามผมมา เดี๋ยวผมพาขึ้นไป” เรายืนงงกันเล็กน้อย เขาก็พูดต่ออีกว่า “ไม่คิดตังค์ ไม่ต้องกลัว พระธาตุอยู่แค่นี้ ขี่รถตามผมขึ้นดอยมาเลย”
2 หนุ่มชาววัดจันทร์ ขี่มอเตอร์ไซค์นำเราขึ้นดอย ส่วนเราก็ขี่ตามไปด้วยความเชื่อใจเพื่อนมนุษย์สุดขีด ไม่เผื่อใจซักนิดว่าจะโดนลวงไปปล้นหรือไม่ ใจก็คิดสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงอยากให้เราขึ้นมาไหว้พระธาตุขนาดนั้น จนขึ้นมาถึงยอดดอย เราถึงได้เข้าใจว่าทำไม..
พระธาตุจอมแจ้งประดิษฐานอยู่ท่ามกลางป่าเขาในบรรยากาศที่เงียบสงบ ให้ความรู้สึกเป็นธรรมสถานจริงๆ ต่างจากสถานที่ท่องเที่ยวที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่แห่แหนกันไปสักการะ อีกทั้งยังอยู่บนจุดที่มองเห็นทิวทัศน์หมู่บ้านเกือบจะทั้งหมด เห็นทุ่งนาเขียวขจีที่มีแนวป่าสนเป็นทั้งฉากหน้าฉากหลัง พาให้นึกถึงหนังซามูไรของอากิระ คุโรซาวะขึ้นมาทันที (ยิ่งฝนตกเปียกแฉะยิ่งได้อารมณ์) เรากล่าวขอบคุณชาววัดจันทร์ทั้งสอง ที่พอส่งเราถึงที่ ก็ร่ำลากลับลงดอยไป ปล่อยให้เราชื่นชมกับความงามของธรรมชาติกันต่อยาวๆ ข้อดีของการเที่ยวหน้าฝน คือความเขียวแบบโอเวอร์โหลด ไม่ว่าจะทุ่งนา ป่าเขา พืชผล ไปจนต้นไม้ใบหญ้า ทุกอย่างเขียวปี๋ชุ่มฉ่ำ แม้จะไม่ได้วิวไม้แดงบรรยากาศยุโรปแบบช่วงหน้าหนาว แต่ก็ทำให้เรารู้สึกสดชื่น ได้ refresh ตัวเองสมใจ ได้ฉากจบทริปแกรนด์ๆก่อนกลับ
หลังจากเต็มอิ่มกับความงามของบ้านวัดจันทร์ หรือ อำเภอกัลยาณิวัฒนาแล้ว เราก็เดินทางกลับเชียงใหม่ด้วยเส้นผ่านปายทางเดิม ทีแรกเราตั้งใจว่าจะกลับอีกเส้น ผ่านแจ่มน้อย บ้านบ่อแก้วเพื่อไปออกทางสะเมิง (เส้นทาง 1096) แต่คนในหมู่บ้านรีบห้ามเอาไว้ บอกว่าถนนระหว่างทางเป็นลูกรัง โดนฝนซัดจนเละเป็นโคลนวิ่งไม่ได้ และ ณ ตอนที่เรากำลังคุยกันอยู่นั้น คนในหมู่บ้านบอกว่า ขนาดรถ 4×4 ตอนนี้ยังติดอยู่ระหว่างทาง 2 คัน เราจึงจำใจต้องวกกลับทางเดิม (ที่วิ่งสบายกว่าเยอะจริงๆ)
ขีดจำกัดในการเดินทางถือเป็นเรื่องธรรมดา การผิดแผนบ้างบางครั้งก็กลายเป็นเรื่องที่น่าจดจำ เพราะอินเตอร์เน็ตพึ่งไม่ได้ตลอดเวลา google map พาเราไปไม่ได้ทุกที่ และคงไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องมารอคน review สถานที่ต่างๆ ถึงค่อยกล้าออกเดินทาง ถึงทริปสั้นครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ทั้งฟ้าปิด ฝนตก ถนนพัง แต่เราก็ได้สูดกลิ่นธรรมชาติกันมาเต็มปอด ได้วิ่งรถบนเส้นทางสวยๆ คดเคี้ยวสะใจ เรียกว่าใช้รถคุ้มและเหมาะกับเส้นทางมาก