พักกิน พักช้อป เที่ยวนอกกรอบรอบ “ฮ่องกง”
ฮ่องกง (香港) ประเทศก้ำๆกึ่งๆ ที่เมื่อเดินทางไปแล้ว มักจะเกิดความไม่แน่ใจ ว่ากำลังมาเที่ยวต่างประเทศอยู่หรือเปล่า ด้วยความที่ใกล้บ้านเราแค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ทำให้การเดินทางมา มันง่ายเสียจนคิดว่ามาเที่ยวต่างจังหวัด แต่เป็นจังหวัดที่มีความเจริญ ทิ้งห่างบ้านเราเสียเหลือเกิน
สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่ ฮ่องกง เป็นจุดหมายปลายทางในการเปลี่ยนบรรยากาศ ที่มีความหมายหลักๆอยู่ 3 อย่าง คือ เป็นห้าง เป็นร้านอาหาร และ เป็นดิสนีย์แลนด์ (สามารถสลับกิจกรรมไหว้พระเข้าไปได้แทนดิสนีย์แลนด์ได้ สำหรับนักท่องเที่ยวสายธรรมะธรรมโม) แต่การมาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศที่ฮ่องกง ยังมีกิจกรรมอื่นๆให้ทำมากกว่าการกินและช็อป ช็อปแล้วกิน นอนตื่นมากินแล้วช็อปใหม่ซ้ำไปซ้ำมา
เสน่ห์ของฮ่องกง คือ ความกะทัดรัด แต่ละที่อยู่ใกล้กันแค่ระยะเดินถึง หรือไม่กี่สถานีรถไฟ นั่งรถไม่ถึงชั่วโมงก็วนครบรอบเกาะแล้ว ที่นี่เราสามารถนั่งรับประทานอาหารฝีมือเชฟมิชลินบนชั้นสูงสุดของตึกระฟ้า แล้วต่อด้วยเข้าป่าปีนเขาอยู่ในอุทยานธรรมชาติบนยอดเขาสูงที่ห่างออกไปจากดงตึกเพียงไม่ถึง 30 นาที สามารถตื่นมาจิบ craft coffee ในเมืองยามเช้า ไปนอนอาบแดดบนหาดทรายสวยทางใต้ของเกาะในตอนสาย แล้วย้ายกลับมาช้อปปิ้งต่อในเมืองตอนบ่ายได้แบบสบายๆ
Travel Tips
ด้วยความที่ฮ่องกงเป็นมหานครที่มีความเปลี่ยนแปลงแทบจะตลอดเวลา ไกด์บุ๊คหรือแผนที่มาตรฐานจึงอาจไม่อัพเดทพอ การเปิด data roaming โทรศัพท์มือถือเอาไว้สำหรับใช้เปิดแผนที่ออนไลน์ จะช่วยให้การเช็คตำแหน่งร้านรวงใหม่ๆที่ซ่อนตัวอยู่ตามตรอกซอกซอยต่างๆสะดวกขึ้นมาก ซึ่งในทริปนี้เราได้เปิด data roaming ของ dtac เอาไว้ตลอดช่วงเวลาการเดินทาง ทำให้ไปไหนมาไหนได้ง่ายไม่มีหลง เชื่อมต่อโซเชี่ยลสะดวก และไม่ต้องเสียเวลาตามล่าหาสัญญาณ Wi-Fi
แพ็กเกจ dtac data roaming เริ่มต้นเพียง 280 บาท/วัน ราคานี้ใช้ได้ทั้งที่ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเก๊า และ สิงคโปร์ แบบไม่ต้องห่วงเน็ตรั่ว เพราะดีแทค มีบริการฟรี dtac worry free ที่ช่วยป้องกันการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง โทรสมัครบริการฟรีได้ที่เบอร์ 1678 (แนะนำว่าให้ติดต่อแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทางจริงอย่างน้อยหนึ่งวัน) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เวบไซต์ของ dtac (www.dtac.co.th/ir)
ส่องตลาดสร้างสรรค์และวงการศิลปะ
กิจกรรมศิลปะดีๆมักเกิดขึ้นที่ฮ่องกง ไม่ว่าจะ “Rubber Duck” เป็ดยักษ์ผลงานของศิลปินชาวดัตช์ Florentijn Hofman ที่เคยลอยตระหง่านอยู่ที่ Victoria Harbour เมื่อปี 2013 การจัดแสดงผลงานของศิลปินระดับโลกอย่าง Jeff Koons, Takashi Murakami, JR, KAWS รวมไปถึงงานใหญ่ล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว “1,600 pandas” โปรเจคศิลปะเพื่อโปรโมทแคมเปญอนุรักษ์แพนด้าที่ใกล้สูญพันธุ์ ที่มีการนำกองทัพแพนด้าเปเปอร์มาเชต์ 1,600 ตัว ไปจัดแสดงตามที่ต่างๆทั่วฮ่องกงรวมถึงที่ PMQ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานที่สนับสนุนแคมเปญนี้ร่วมกับ WWF
PMQ คือ ชุมชนสร้างสรรค์และการออกแบบใจกลางย่าน SoHo ที่เปิดตัวขึ้นเมื่อเดือนเมษายนปี 2014 โดยใช้พื้นที่อาคารเก่าของรัฐมาเปลี่ยนให้เป็นศูนย์กลางของตลาดธุรกิจสร้างสรรค์ในฮ่องกง ที่มีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร เวิร์คช็อป สวนหย่อม พิพิธภัณฑ์ และ พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ ใครที่เบื่อห้างทั่วไป อยากช้อปสินค้าออกแบบ ชมงานศิลปะ PMQ คือที่ๆคุณสามารถมาเดินเล่นได้ทั้งวัน
อาคารหน้าตาแข็งๆที่ให้บรรยากาศเหมือนโรงเรียนแห่งนี้ เป็นพื้นที่อนุรักษ์ของย่าน Central ซึ่งเคยเป็นโรงเรียนเก่าแก่ของฮ่องกงจริงๆ และยังเป็นแห่งแรกที่ให้การศึกษาแบบตะวันตกแก่คนท้องถิ่นอีกด้วย อาคารนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นหอพักตำรวจในปี 1951 จนถึงปี 2009 และได้ถูกปล่อยร้างเอาไว้มานานหลายปี จนทางรัฐตัดสินใจนำพื้นที่ที่มีราคาสูงถึง 3,000 ล้านเหรียญฮ่องกง หรือประมาณ 13,000 ล้านบาทแห่งนี้ มาบูรณะปรับปรุงให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ ด้วยการใช้สนับสนุนวงการออกแบบและศิลปะของฮ่องกง หากใครวางแผนจะไปฮ่องกง แนะนำให้เช็คข้อมูลนิทรรศการที่ PMQ ดูก่อน ถ้ามาพอดีกับช่วงไม่มีนิทรรศการนี่น่าเสียดายแย่เลย
การเดินทางไป PMQ: นั่ง MTR ไปลงสถานี Sheung Wan หรือนั่งรถรางลงสถานี Jubilee Street แล้วเดินขึ้น Central Mid-Levels escalator จนถึงถนน Stauton
สถานที่ชมงานศิลปะอื่นๆที่น่าสนใจ: White Cube Gallery, Gagosian Gallery
[su_gmap width=”16000″ address=”pmq hong kong”][/su_gmap]
เสี่ยงโชคที่สนามม้าแข่ง
เช่นเดียวกับคนบ้านเรา ชาวฮ่องกงเชื่อเรื่องดวงชะตาและรักในการเสี่ยงโชค กีฬาแข่งม้า คือการพนันชนิดเดียวที่ถูกกฎหมายในประเทศนี้ ซึ่งถูกนำเข้ามาครั้งแรกในปีค.ศ. 1841 โดยรัฐบาลอังกฤษที่ปกครองฮ่องกงอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้ชาวอังกฤษได้มีที่ดูการแข่งม้ากัน จนในปัจจุบันการดูม้าแข่งก็กลายมาเป็นเป็นกีฬากระแสหลักที่ชาวฮ่องกงคลั่งไคล้อย่างมาก เรียกได้ว่า ถ้าไปอังกฤษต้องดูบอล ไปอเมริกาต้องดูบาส ไปญี่ปุ่นต้องดูเบสบอล แต่ถ้ามาฮ่องกงก็ต้องดูม้า
ฮ่องกงมีสนามม้าเพียงอยู่ 2 แห่ง แห่งแรกคือ Happy Valley Racecourse ที่ย่าน Wan Chai ซึ่งเป็นสนามแข่งแห่งแรกที่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1845 ส่วนอีกแห่งคือ Sha Tin Racecourse ที่ย่าน Sha Tin ในเขตดินแดนใหม่ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า สามารถจุคนได้ถึง 85,000 คน ทั้ง 2 แห่งเปิดให้นักท่องเที่ยวพนันม้าแข่งได้ หรือถ้าแค่อยากชมเป็นประสบการณ์ก็สามารถไปนั่งบริเวณซุ้มอาหารและลานเบียร์ได้เช่นกัน เบียร์กับการดูม้าเป็นของคู่กันสำหรับที่นี่ ไม่ต้องตกใจหากคุณสั่งเบียร์ซักไพน์แล้วได้หลอดมาด้วย เพราะมันเป็นสไตล์การดื่มเฉพาะตัวของที่นี่
ใครที่ชอบความสะดวกสบาย อยากชมทิวทัศน์ของตึกระฟ้าและภูเขาสูง แนะนำให้แวะไปที่ Happy Valley Racecourse ที่นี่ค่อนข้างฟู่ฟ่า มีปาร์ตี้ลานเบียร์ที่เต็มไปด้วยฝรั่งและนักท่องเที่ยวมากมาย ไกด์บุ๊คส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้มาที่นี่ แต่ถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศที่มีความเป็นท้องถิ่นแนะนำว่า Sha Tin Racecourse น่าจะตอบโจทย์กว่า จอ LED ของที่นี่ได้รับการบันทึกโดยกินเนสบุ๊คว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความยาวเท่าเครื่องบินโบอิ้ง 747 เลยทีเดียว ทั้ง 2 แห่งมีรายการแข่งทุกวันพุธ เสาร์ อาทิตย์ (ฤดูการแข่งขันคือระหว่างเดือนกันยายน จนถึงกรกฎาคมปีถัดไป) และยังมีนิทรรศการประวัติศาสตร์การแข่งม้าในฮ่องกงให้ได้ศึกษากันอีกด้วย ก่อนไปควรวางแผนล่วงหน้า เช็ควันเวลาจากตารางแข่งเว็บไซต์ของทั้ง 2 สนามให้ดีจะได้ไปไม่เสียเที่ยว
การเดินทางไป Happy Valley Racecourse: นั่ง MTR สาย Sheung Wan (สายสีน้ำเงิน) ไปลงสถานี Causeway Bay แล้วเดินต่ออีกประมาณ 20 นาที หรือนั่ง Tram ไปลงที่สถานี Happy Vallery Terminus ก็ได้
[su_gmap width=”1600″ address=”happy valley racecourse”][/su_gmap]
การเดินทางไป Sha Tin Racecourse: จากสถานี Tsim Sha Tsui ขึ้น MTR สาย Tsuen Wan (สายสีม่วง) ไปลงที่สถานี Hung Hom เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย MTR East Railway นั่งไป 5 สถานีก็จะถึงสถานี Sha Tin Racecourse (ข้อควรระวังคือ สถานี Sha Tin Racecourse จะเปิดเฉพาะในวันที่มีม้าแข่งเท่านั้น และรถไฟที่จะจอดสถานีนี้ คือรถไฟที่วิ่งไปสู่สถานี Lo Wu และ Lok Mau Chau) อีกตัวเลือกหนึ่งคือลงที่สถานี Fo Tan แล้วเดินต่อ 15-20 นาทีก็จะถึงสนามม้า
[su_gmap width=”1600″ address=”sha tin racecourse”][/su_gmap]
ปีนเขา เข้าป่า ชมทิวทัศน์ยอดเกาะ
แม้ประเทศนี้จะเต็มไปด้วยตึกระฟ้า แต่พื้นที่กว่า 3 ใน 4 ของฮ่องกงยังคงเป็นเขตธรรมชาติ ที่ประกอบไปด้วยอุทยานและเส้นทางเดินป่าปีนเขาหลายเส้น ที่นี่เมืองกับป่าใกล้กันมาก เมืองก็เจริญ ป่าก็อุดมสมบูรณ์อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้วิถีชีวิตแบบคนเมืองของที่นี่ค่อนข้างใกล้ชิดกับธรรมชาติ หากใครมีโอกาสได้ลองไปเดินตามเส้นทาง traking และ hiking สายใกล้เมือง จะพบว่าเพื่อนร่วมทางที่ได้เจอ จะไม่ใช่นักท่องเที่ยวหรือนักปีนเขามือโปร แต่เป็นคนในท้องถิ่น ที่ขึ้นมาเดินออกกำลังบนเขาในชุดกีฬา เสียบหูฟัง เดินไปฮัมเพลงไป บ้างก็จับกลุ่มเดินคุยกันไปพลาง ชมทิวทัศน์ไปพลาง หรือบ้างก็ขึ้นมาเดินเป็นกิจกรรมครอบครัว
Wilson Trail คืออีกหนึ่งเส้นทางเดินป่าปีนเขายอดนิยม ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติ เส้นทางนี้แบ่งออกเป็น 10 section ผ่าน 8 เขตอุทยานธรรมชาติ ระยะทางรวม 78 กิโลเมตร โดยเริ่มต้นตั้งแต่ Stanley Gap Road ในย่าน Stanley ทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง ทอดยาวต่อเนื่องไปจนถึง Num Chung ในเขตดินแดนใหม่ (New Territories) เกือบถึงชายแดนประเทศจีน ถือได้ว่าเป็นเส้นทางเดินข้ามประเทศฮ่องกงก็ว่าได้ ส่วนใหญ่นักเดินทางที่มีเวลาไม่มาก มักจะเลือกมาเดินใน section 1 (ระยะทาง 4.5 กม.) และ section 2 (ระยะทาง 6.6 กม.) บนพื้นที่ของเกาะฮ่องกง เห็นใกล้เมืองอย่างนี้อย่าคิดว่าจะเป็นทางเดินสบายๆ เพราะเส้นทางนี้จะพาเราเข้าสู่ป่าจริงๆ ที่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาคอยยืนอำนวยความสะดวกให้ ไม่มีลูกหาบ ถือว่าค่อนข้างยากสำหรับมือใหม่หัด hike แต่ที่สบายจนน่าตกใจคือทั้งป่ามีสัญญาณโทรศัพท์ ให้เราสามารถเปิดดูแผนที่ เช็คตำแหน่งตัวเองได้ตลอดเวลา และสามารถเก็บภาพบรรยากาศมาให้ได้ชมกันแบบเรียลไทม์
[su_gmap width=”1600″ address=”stanley gap road”][/su_gmap]
การเดินทางมา Wilson Trail section 1: ขึ้นรถบัสสาย 6 หรือ 260 จาก Admiralty Station East Bus Terminus มาลงที่สถานี Stanley Gap Road ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
Hiking Trail อื่นๆที่น่าสนใจของฮ่องกง: Hong Kong Trail (เดินลัดเลาะรอบเกาะฮ่องกง 50 กม.), MacLehose Trail (เดินตัดขวางเขตดินแดนใหม่ 100 กม.), Lantau Trail (70 กม.)
ตากอากาศชายทะเล สัมผัสสายลม และ แสงแดด
รอบฮ่องกงคือทะเลจีนใต้ มีพื้นที่หลายส่วนเป็นเกาะ เพราะฉะนั้นการมองข้ามทะเลของที่นี่คงถือว่าน่าเสียดายและผิดตรรกะไปซักหน่อย ที่นี่มีหาดน่าเที่ยวหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ Repulse Bay อ่าวเล็กๆทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกงซึ่งเป็นย่านบ้านพักตากอากาศของเหล่าเศรษฐี ที่ดินบริเวณนี้มีราคาสูงที่สุดในเกาะ ซึ่งถือว่าไม่น่าแปลกใจเมื่อเทียบกับปริมาณรถซุปเปอร์คาร์ที่วิ่งสวนกันไปมาบนถนนเหนือหาด จนโอกาสถูกรถหรูเฉี่ยวน่าจะสูงกว่าการจมน้ำเสียด้วยซ้ำ
บรรยากาศของหาดนี้ค่อนข้างสงบและส่วนตัว เหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ไม่มีบานาน่าโบ๊ท เจ็ทสกี วิ่งโฉบไปโฉบมาในน้ำให้เกะกะสายตา และแน่นอนไม่มีเก้าอี้ผ้าใบเจ้าถิ่นมาคอยวุ่นวายเหมือนบางหาดบ้านเรา คนที่มาเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่มาตากอากาศจริงๆ นอนอาบแดด อ่านหนังสือ หรือบ้างก็เล่นน้ำ ส่วนใครที่แค่อยากนั่งมองทะเล บริเวณเหนือหาดมีร้านอาหารและคาเฟ่เก๋ๆมากมายเรียงรายอยู่ให้เลือกรับประทาน หรือจะเดินข้ามไปสักการะศาลเจ้าแม่กวนอิมที่ปลายหาดก็ได้ ความไม่ส่วนตัวเพียงอย่างเดียวที่รบกวนความสงบของหาดนี้คือ กองทัพเซลฟี่ของทัวร์จีนที่จะแวะเวียนมาบ่อยๆ พอรถบัสปล่อยลงปุ๊ปก็จะแห่แหนกันลงมาจับจองพื้นที่เซลฟี่ ล้งเล้งกันอยู่ซักพักแล้วก็จะหายไป เอกลักษณ์ของทะเลที่นี่ คือทิวทัศน์ของเส้นขอบฟ้าที่มีเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่แล่นผ่านไม่ขาดสาย สมกับเป็นประเทศศูนย์กลางธุรกิจแห่งเอเซีย ให้ความรู้สึกที่ “ฮ่องกง” มากๆในสายตาของนักท่องเที่ยวอย่างเรา (แต่คนที่นี่เห็นแล้วอาจจะเอือม นึกถึงงานที่รออยู่ก็เป็นได้)
การเดินทางมา Repulse Bay: ขึ้นรถบัสสาย 6 หรือ 66 จาก Admiralty Station East Bus Terminus มาลงที่สถานี Stanley Gap Road ใช้เวลาประมาณ 35 นาที
หาดอื่นๆที่น่าสนใจของฮ่องกง: Cheung Sha beach, Tai Long Wan, Shek O (Big Wave Bay)
[su_gmap width=”1600″ address=”repulse bay”][/su_gmap]
ตามรอยหนัง ย้อนเวลากลับไปยุค 90s
ก่อนยุคซีรีย์เกาหลีจะเฟื่องฟู เด็กในยุค 80-90s เกือบจะทุกคนโตมากับหนังฮ่องกง อย่างน้อยๆก็ต้องคุ้นกับหนังตระกูล “คนเล็ก” ของโจวซิงฉือ, ตระกูล “ฟัด” ของเฉินหลง, “ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ” ของหลิวเต๋อหัว ต้องเคยดูละครก่อนข่าวอย่างเปาบุ้นจิ้น ขุนศึกตระกูลหยาง องค์หญิงกำมะลอ เจาะเวลาหาจิ๋นซี หรือถ้าสายอินดี้ก็ต้องเคยเหงาบาดลึกมาแล้วกับหนังของหว่องกาไว หนังสือนำเที่ยวของฝรั่งส่วนใหญ่จะไม่ค่อยพูดถึงการเที่ยวฮ่องกงในเชิงภาพยนตร์เท่าไหร่ แต่สำหรับคนบ้านเรา ที่ดูละครฮ่องกงกันมาตั้งแต่คำว่า “ซีรีย์” ยังไม่ถูกบัญญัติ การตามรอยหาสถานที่ถ่ายทำหนังหรือละครเรื่องโปรดในอดีต ได้ไปเดินในสถานที่จริงของฉากที่เราเคยประทับใจ ก็น่าจะสร้างประสบการณ์ที่ดีได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
Chunking Express
บันไดเลื่อน Central-Mid-Levels escalator ที่ชาวฮ่องกงในเขต Central ใช้เดินทางขึ้นลงเขากันเป็นกิจวัตรประจำวัน เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่อง Chungking Express (1994) ในฉากห้องพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจหมายเลข 663 (เหลียงเฉาเหว่ย) ที่อาเฟย (เฟย์ หว่อง) ถือวิสาสะแอบเข้าไป นอกหน้าต่างห้องนี้ตรงกับบันไดเลื่อนพอดี ทำให้อาเฟยสามารถมองออกมาเห็น 663 ตอนกำลังกลับบ้านได้
[su_gmap width=”1600″ address=”central mid levels escalator”][/su_gmap]
Young and Dangerous (กู๋หว่าไจ๋)
ถนน Lockhart Road ในช่วงย่าน Wan Chai ถึง Causeway Bay (ถงหลอวาน) เป็นสถานที่ถ่ายทำหลักของหนังอันธพาลภาคต่อเรื่อง กู๋หว่าไจ๋ หรือ Young and Dangerous (1996) ซึ่งสร้างมาจากการ์ตูนดังในยุคนั้น ทั้งฉากไล่แทงกันหน้าซาวน่าตอนต้นเรื่อง หรือ ฉากที่เฉินห้าวหนานพบซือซือ และ ฉากจบของเรื่องก็ล้วนแล้วแต่ถ่ายทำกันบนถนนเส้นนี้
[su_gmap width=”1600″ address=”lockhart road”][/su_gmap]
Infernal Affair (2 คน 2 คม)
ร้านเครื่องเสียง Ultra Isotherm Audio & Video Co ที่ถนน Apliu Street ในย่าน Sham Shui Po ซึ่งเป็นฉากสำคัญของเรื่อง Infernal Affair ที่หลิวเต้อหัวมาลองเครื่องเสียง และได้พบกับเหลียงเฉาเหว่ยที่นี่
[su_gmap width=”1600″ address=”Apliu Street Sham Shui Po”][/su_gmap]
นอกจากการตามรอยสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์แล้ว การได้เห็นวัฒนธรรมการดูหนังของคนฮ่องกงก็เป็นอีกประสบการณ์ที่ดีไม่แพ้กัน ดูหนังฮ่องกงมาทั้งชีวิต รู้จักทีมพากษ์พันธมิตรก็เพราะหนังฮ่องกง ถ้ามาถึงนี่แล้วไม่แวะโรงหนังเสียหน่อยคงเหมือนทำภารกิจไม่เสร็จสิ้น แน่นอนว่าที่นี่มีโรงหนัง multiplex แบบบ้านเรา (ซึ่งแพง) แต่ไหนๆมาแล้ว เลือกโรงหนังนอกกระแส สัมผัสเสน่ห์แบบ local ซักหน่อยน่าจะได้อารมณ์กว่า
Broadway Cinematheque คือโรงหนังนอกกระแสในย่าน Yau Ma Tei ที่มีบรรยากาศคล้าย House RCA ของบ้านเรา ต่างกันนิดหน่อยตรงที่ โรงหนังนอกกระแสของที่นี่ไม่ได้มีแค่เด็กแนว แต่คุณลุงคุณป้าอาม่าอาอึ้มทั่วไปก็แวะเวียนมาใช้บริการ ที่นี่มีขายดีวีดีและโปสเตอร์ภาพยนตร์มากมาย ทั้งเก่าและใหม่ ทั้งหายากและแบบยอดนิยม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเป็นของฝากให้กับคนรักหนัง นอกจากนี้ ที่นี่ยังพ่วงอยู่กับ Kubrick Café ซึ่งเป็นคาเฟ่บวกร้านหนังสือและพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ ที่บรรยากาศน่านั่งจับกลุ่มถกเรื่องหนังหลังดูจบเสียเหลือเกิน
การเดินทางมา Broadway Cinematheque และ Kubrick Café: ขึ้น MRT มาลงสถานี Yau Ma Tei ออกทางออก C แล้วเดินตามแผนที่ไปอีกนิดก็จะเจอ
[su_gmap width=”1600″ address=”broadway cinematheque”][su_gmap address=”The High Line”][/su_gmap]
ความกะทัดรัดของเมือง และ ความสะดวกในการเดินทาง ทำให้ถ้าวางแผนดีๆ วันนึงก็สามารถแวะไปได้หลายแห่งรอบฮ่องกง แต่อย่าลืมว่าร้านรวงส่วนใหญ่ที่นี่จะปิดวันอาทิตย์ และร้านอาหารดีๆมักจะปิดพักช่วงบ่าย ไม่ได้พร้อมอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวสไตล์ตามใจฉัน ที่สำคัญหลายย่านต้องขึ้นลงเนินชัน เพราะฉะนั้นอย่าลืมศึกษาแผนที่ดีๆ เตรียมสัญญาณเน็ตมือถือให้พร้อม เพื่อการเที่ยวได้อย่างสบายใจไร้กังวล
#dtacroaming #dtacdataroaming