“เมืองลาวน่า hug” บันทึกการเดินทางเกี่ยวกับคนแปลกหน้า ที่อาจจะไม่ได้เจอกันอีก

นอกจากแม่เหล็กติดตู้เย็นแล้ว สิ่งหนึ่ง ที่เรามักเก็บติดตัวกลับมาด้วยทุกครั้งที่มีโอกาสได้ไปเยือนดินแดนใหม่ๆ คือ เรื่องราวของผู้คนที่เจอที่นั่น และ ดูเหมือนว่า มันจะเป็นสิ่งเดียว ที่เชื่อมความรู้สึกของเรา กับสถานที่ตรงนั้น แม้เวลาจะล่วงเลยมาแล้วสักระยะหนึ่ง เชื่อไหมว่า ทุกวันนี้ เรายังจำนักมายากลพเนจร กับทริคแมลงสาบบนรถเมล์ลอนดอนได้ดี เรายังไม่ลืมเด็กเสิร์ฟในอิตาลี ที่พูดจาดูถูกเราเสียจนอยากกลับไปเหมากินมันทั้งร้าน และตอน 9 โมงเช้าของหลายๆ วัน เรายังคิดถึงคุณลุงนั่งรถเข็นที่สวนกับเรา ณ เวลาเดียวกัน บนถนนนอกเมืองฟิลาเดลเฟียเป็นประจำ

นั่นคือสิ่งที่เรายังจำได้ ภาพของคนเหล่านั้นชัดเจนกว่าสถาปัตยกรรมบ้านเรือน ธรรมชาติ ชัดกว่าเมนูอาหารชั้นเลิศ หรือแม้แต่ประเพณีบางอย่างด้วยซ้ำ

การไปเยือนประเทศลาวครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ระหว่างตารางการเดินทางที่แน่นเอี๊ยดแทรกด้วยคนแปลกหน้าที่เราบังเอิญได้เจอกัน (หรืออาจเป็นพรหมลิขิต) บทสนทนาเล็กๆ สร้างความอบอุ่นใจอย่างไม่น่าเชื่อ น้ำใจของชาวต่างชาติที่พูดภาษาใกล้เคียงกันกับเรา มีวัฒนธรรมคล้ายๆ กันกับเราทำให้รู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้าน ประหนึ่งว่าคนลาวทุกคนที่ได้เจอมีบับเบิ้ลชี้ออกจากหัวพร้อมประโยคคลาสิกแปะอยู่บนนั้นว่า ‘Make yourself at home.’

เรื่องเล่าต่อไปนี้จึงไม่ได้เกี่ยวกับประเทศลาวโดยตรง ไม่ได้พูดถึงทัศนียภาพและความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่ได้อิทธิพลมาจากทางฝรั่งเศสอยู่บ้าง ไม่ได้บอกว่าคุณควรจะไปทำอะไรที่ลาว แต่ย้ำว่า ‘ทำไม’ คุณควรลองมาเยือนที่นี่สักครั้งในชีวิต

1.คุณลุงร้านอาหารเช้าผู้เคยไปกรุงเทพฯ สมัยก๋วยเตี๋ยวยังชามละบาท – หลวงพระบาง

เช้าวันแรกที่หลวงพระบาง หลังจากเช็คอินโรงแรมเสร็จเรียบร้อย เราเดินดุ่มๆ รอบๆ เมืองหาร้านอาหารเช้าสไตล์ฝรั่งจำพวกไข่คน ขนมปังบาแก็ต ประเภทที่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยเหมือนนั่งทานอยู่ในปารีส เดินกลับไปกลับมา มาจบที่ร้านเล็กๆ มีโต๊ะอยู่สี่ห้าตัว ด้านนอกสอง ด้านในสาม อาหารในเมนูหน้าร้านเป็นแบบที่เราตั้งใจจะทานไม่มีผิดเพี้ยน ในร้านมีคุณลุงหน้าตาใจดีคอยต้อนรับอยู่ ระหว่างที่กำลังเตรียมอาหาร เขาก็ชวนเราคุยอยู่เรื่อยๆ

‘พวกลูกมาจากจังหวัดไหนกัน’ ลุงชวนคุย อาจเป็นเพราะเห็นว่ามาจากบ้านพี่เมืองน้องกัน
‘กรุงเทพฯ ค่ะ/ครับ’
‘ลุงก็เคยไปกรุงเทพฯ นะ จำได้ว่าตอนนั้นปี 1970 สมัยก๋วยเตี๋ยวยังชามละบาท เดี๋ยวนี้สี่ห้าสิบแล้วล่ะมั้ง’

ลุงเว้นช่วงขณะเดินไปคีบบาแก๊ตออกจากเตาอบขนาดกลางหลังเคาเตอร์

‘แล้วนี่จะไปเที่ยวไหนกันบ้าง’

เราสาธยายแผนการการท่องเที่ยวที่เตรียมมาล่วงหน้าก่อนมาถึงสองสัปดาห์ ทั้งวัดวาอาราม ตลาด น้ำตก ซึ่งลุงถึงกับร้อง โอ้โห ก่อนจะบอกว่า ‘หนุ่มๆ สาวๆ ยังมีแรงพอจะเที่ยวตามตารางที่แน่นเอียดขนาดนี้ เป็นลุงคงต้องใช้เวลากว่า 3 วัน’

เรื่องเล่าพอสังเขปเกี่ยวกับเมืองหลวงพระบางของลุงเป็นเหมือนเสียงเพลงจังหวะกำลังดีที่เปิดตามร้านอาหาร ต่างกันตรงที่เพลงของลุงไม่ได้ให้แค่ความเพลิดเพลินอย่างเดียว เราได้ทั้งเกร็ดความรู้และมิตรภาพดีๆ จากคนลาวกลับมาด้วย เราปรึกษาคุณลุงเรื่องรถประจำทางไปวังเวียงต่อ รวมถึงสถานที่เที่ยวในหลวงพระบางที่พลาดไม่ได้ ก่อนจะเรียกคิดเงินค่าอาหารมื้อนั้น

และขณะกำลังเดินจากร้านมา เราได้ยินเสียงคุณลุงไล่หลังมาว่า

‘มาเลเซีย (เสียงสูง)’
‘Yes.’ ชายเจ้าของจักรยานที่มีธงมาเลเซียแขวนไว้ด้านหลังตอบกลับไป…

คุณลุงไม่ได้เอ็นดูเพราะเรามาจากบ้านพี่เมืองน้องหรอก แกใจดีกับทุกคน

2.เจ้าของโฮสเทลชาวฝรั่งเศสที่สามารถคุยกับแมวได้ – หลวงพระบาง

ก่อนจะมาทริปนี้ เราใช้เวลาหลายสัปดาห์อ่านรีวิวที่พักตามเวบไซต์จัดหาที่พักต่างๆ จนได้มาเจอโรงแรมเล็กๆ ชื่อ View Khemkhong Guesthouse ทำเลที่ตั้งดีเสียยิ่งกว่าดี อยู่ห่างจากแม่น้ำโขงด้วยถนนเพียงสองเลน แถมยังมีร้านอาหารเล็กๆ ริมน้ำเป็นของตัวเองอีกด้วย

Eric คือเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ เขาเป็นชาวฝรั่งเศสที่เคยใช้ชีวิตไปกับการดูแลโรงแรมระดับหลายดาวในกรุงลอนดอนมาหลายปี จึงเป็นคำอธิบายความเข้าอกเข้าใจในสิ่งที่แขกต้องการและการต้อนรับระดับที่เรียกได้ว่า ‘อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน สะดวกสบายอย่างราชา’ ทุกๆ ครั้งที่เจอกันเขาจะทักทายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า ‘Welcome back!’ และชวนคุยเล็กน้อยเรื่องสารทุกข์สุขดิบและการใช้ชีวิตของเราในหลวงพระบาง จนกระทั่งวันสุดท้ายขณะนั่งรอรถสองแถวมารับไปขนส่งประจำเมือง เราได้มีโอกาสคุยกับเขาในบทสนทนาที่ยาวขึ้น ตั้งแต่เรื่องความประทับใจเกี่ยวกับหลวงพระบาง เวลาที่น้อยไป ไปจนถึงแมวของเขา

‘She has 3 babies, you know?’ เขาเล่าให้เราฟังพร้อมหยิบกล่องลังทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสออกมาจากหลังเคาเตอร์ ในกล่องมีลูกแมววัยแบเบาะสามตัวกำลังนอนหลับอย่างมีความสุข

ทันทีที่แม่แมวเห็นว่าลูกๆ กำลังตกเป็นจุดสนใจของมนุษย์จากต่างเมือง มันก็รีบเดินไปคาบลูกแมวออกจากลังไปวางไว้หลังเคาเตอร์เช่นเดิม

‘เมี้ยว เมี้ยว เมี้ยว’ มันร้องเชิงตำนิ
‘I know. I know. I won’t do it again.’ เสียง Eric มาจากหลังเคาเตอร์
‘Why did you show my babies to them? You know I don’t like it.’ เขาทำเสียงเล็กเสียงน้อยล้อเลียนเจ้าแมว พร้อมส่งซิกให้เราเป็นการรู้กัน

หลังจากเลยเวลานัดมาเกือบ 1 ชั่วโมง รถสองแถวที่เรานัดไว้ก็เคลื่อนมาจอดที่หน้าโรงแรมในที่สุด การแอบฟังบทสนทนาของ Eric กับแมวเค้าคลอด้วยเสียงฝนที่ปกคลุมหลวงพระบางตลอดช่วงเช้าสิ้นสุดลงตรงนั้น
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเรื่องของ Eric คือเหตุผลที่เราควรกลับมาที่หลวงพระบางอีกครั้ง แต่ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะได้มีโอกาสไปพักโรงแรมที่มีแมวและบริการโดยเจ้าของ แถมเจ้าของยังคุยกับแมวรู้เรื่องอีกด้วย

3.คุณน้าเจ้าของแผงขายทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่า ‘มาวังเวียงต้องกินให้ได้’ – วังเวียง

หลายคนคงเคยได้ยินสมญานามของเมืองวังเวียงว่าเป็น ‘เมืองแห่งอปป้า’ ทีแรกเราก็ไม่รู้หรอก นึกไม่ออกว่ามันจะเป็นเมืองแห่งอปป้าได้อย่างไรจนกระทั่งเข้าไปจับจ่ายในร้านมินิมาร์ทแห่งหนึ่ง ในร้านก็ขายของเหมือนกับมินิมาร์ทบ้านเรา เพียงแต่ในทุกๆ ชั้นไม่ว่าจะเป็นชั้นอาหารแห้ง ชั้นเครื่องดื่ม ชั้นขนมขบเคี้ยว จะแบ่งออกเป็นสองด้านคือ สินค้าทั่วไปกับสินค้าจากเกาหลี

นั่นไง พลังแห่งอปป้าเริ่มเข้าปกคลุมแล้ว

เราได้เห็นพลังของอปป้าอีกครั้งที่ Sakura Bar บาร์ที่ฮิพที่สุดในวังเวียง เรียกได้ว่าถ้าแขกไปใครมาต้องมาร้อง มาเต้น มา drink drank และ drunk ให้ได้ นับว่าเป็น must-go ที่อันดับไล่เลี่ยกับการล่องห่วงยางแม่น้ำซองเลยทีเดียว และที่สำคัญบาร์ที่นี่ไม่ใช่บาร์ธรรมดา แต่เป็นบาร์ที่มาพร้อมกับสโลแกนที่ว่า ‘Drink triple. See double. Act single.’

พลังของอปป้าเริ่มหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ และถึงจุดพีคเมื่อดีเจเปิดเพลงแดนซ์เกาหลี เวทีไม้ต่อเองจากที่เคยถูกยึดโดยกลุ่มฝรั่งหัวทอง หัวแดง ตอนนี้มีแต่วัยรุ่นหัวดำ ร้องเต้นกันอย่างสนุกสนาน เกาหลีเป็นชาตินิยมอย่างที่เขาว่า และตั้งแต่เพลงของวง Bing Bang เริ่มขึ้น เหล่าอปป้าก็ไม่ได้ลงจากเวทีอีกเลย…

เรื่องของอปป้าไม่เกี่ยวกับ คุณน้าเจ้าของแผงขายทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่า ‘มาวังเวียงต้องกินให้ได้’ เรื่องเล่าของคุณน้าเกิดขึ้นหลังจากนั้น เราเดินกลับที่พักตอนประมาณเที่ยงคืน ผ่านชายสี่บะหมี่เกี๊ยวและร้านข้าวเหนียวไก่ย่างอยู่สองเจ้า แต่คิดว่าไหนๆ มาอยู่ที่นี่ทั้งที ทำไมไม่กินของขึ้นชื่อฝีมือคนลาวที่นักท่องเที่ยวชอบนักชอบหนาดูบ้าง ตลอดทางจะมีร้านขายเบอร์เกอร์ แพนเค้ก โรตี แซนด์วิช แต่ร้านคุณน้าเหมือนจะเป็นร้านเดียวที่ยังเปิดอยู่ เรายืนอ่านเมนูอยู่นานก่อนที่คนสนิทข้างๆ จะบอกว่า อยากกินไข่เจียว (ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีในเมนู)

‘ไข่เจียวก็ได้ ใส่เบคอนด้วยไหม’ คุณน้าถาม
‘ใส่ค่ะ/ครับ’

ระหว่างรอคุณน้าทอดไข่เจียวและเบคอนตามออเดอร์ เราเหลือบไปเห็นกล้วยอยู่หวีหนึ่ง คนสนิทถามคุณน้าอีกครั้งว่า ถ้าจะขอซื้อกล้วยสักลูก จะขายเท่าไร ซึ่งคุณน้าตอบว่า

‘เอาไปเลย ไม่คิดเงินหรอก’

สายตาของเราและคนสนิทบรรจบกันโดยมิได้นัดหมาย และเป็นเพราะน้ำใจคนลาวที่ทำให้เราต้องจ้องตากันอยู่หลายครั้งในทริปนี้ ดูๆ แล้วกล้วยลูกนั้นคงราคาไม่กี่พันกีบ แต่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นความประทับใจที่ทำให้เราจดเรื่องราวของคุณน้าไว้ในสมุดบันทึก และนำมาพิมพ์ก๊อกๆ แก๊กๆ ในตอนนี้

บ่ายอีกวันหลังล่องห่วงยางเสร็จ เราเดินผ่านแผงขายทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่า ‘มาวังเวียงต้องกินให้ได้’ คุณน้ายิ้มให้เราแต่ไกล เป็นรอยยิ้มที่ชักชวนให้เดินเข้าไปหาและทำให้เรา…

โดนโรตีคุณน้าไปอีกอัน

เราขอเรียกทริปครั้งนี้ว่าการเดินทางพอสังเขป เพราะเวลาที่จำกัดเลยทำให้เรารู้จักเมืองลาวแค่เปลือกยังไม่สามารถเรียกว่าเพื่อนได้ แต่ถ้าถามว่าถูกชะตาไหม ต้องตอบว่าถูกชะตากันไม่น้อย น้ำใจแบบผิวเผินทำให้เรารู้ว่าเมืองลาวทั้งน่ารัก น่ากอด และสงบพอที่จะเป็นหลุมหลบหนีชีวิตวุ่นวายชั้นยอด ที่สำคัญยังปลอดภัยสำหรับการมาเที่ยวคนเดียวด้วย เพราะการเดินทางภายในประเทศไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย อีกทั้งภาษาที่ใช้ก็ใกล้เคียงกันจนบางทีก็แยกไม่ออกว่าเป็นภาษาไทยหรือภาษาลาว

และหากเรื่องเล่าของคนที่เราเจอจะสะกิดอะไรบางอย่างในตัวคุณได้บ้าง เราคงได้แชร์ประสบการณ์และเรื่องราวดีๆ ร่วมกันในเร็ววันนี้

A dog lover who enjoys every second out there and always comes home with a handful of magnets.

Magazine made for you.