ในที่สุดก็มาถึง.. Morocco
Morocco..
ในที่สุดก็ได้ไปโมร็อคโคแล้ว ประเทศนี้อยู่ในทวีปแอฟริกาตอนเหนือ อยู่ใต้สเปนนิดนึง เป็นหนึ่งในประเทศในฝัน ที่จะต้องเดินทางไปให้ได้ครั้งหนึ่งในชีวิต หนึ่งในนั้นรวมถึงทะเลทรายซาฮาราด้วย ทริปนี้จึงเป็นทริปที่ตั้งตารอมากที่สุด การได้ไปโมร็อคโคครั้งนี้ ทำให้เรารู้สึกมีพลังบวกอย่างบอกไม่ถูก ตอนนี้โมร็อคโคกลายเป็นประเทศที่เราชื่นชอบที่สุดไปแล้ว เราได้เห็นสภาพแวดล้อมแปลกๆ วัฒนธรรมใหม่ๆ การเดินทางทำให้เราเรียนรู้ ยอมรับ และเคารพความแตกต่างของสังคมในอีกซีกโลกหนึ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
แผนการเดินทางของเราคือ Casablanca, Rabat, Meknes, Fez, Erfoud, Ouarzazete และ Marrakesh
ก่อนออกเดินทาง เราต้องไปทำวีซ่าที่สถานทูตโมร็อคโค ตึกสาทรซิตี้ ค่าวีซ่าประมาณ 900 บาท คือสถานทูตเงียบมาก ไม่มีคน เราเลยได้วีซ่ามาในเวลาแป๊ปเดียว
เราเดินทางจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 15 ชั่วโมง รวมเวลาต่อเครื่องที่ดูไบอีก 2 ชั่วโมง ก็มาถึงเมือง Casablanca ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของโมร็อคโค จากสนามบิน เรานั่งรถไฟเข้าไปยังตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมง มาลงที่สถานีหลักชื่อ Casa Port เดินออกจากสถานีก็ถึงโรงแรมที่พักเลย
จริงๆแล้วชื่อเมือง Casablanca เป็นภาษาสเปนแปลว่า “บ้านสีขาว” ตึกรามบ้านช่องของทั้งเมืองส่
ผู้คนที่นี่เป็นมิตรกับชาวต่างชาติ ชอบทักทาย เวลาเราเดินผ่านก็มักจะเจอคน Say Hello กับเราอยู่บ่อยๆ อีกอย่างคือคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติหรือชาติเดียวกัน ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เราจึงประทับใจกับความน่ารักของผู้คนประเทศนี้มากๆ อย่างตอนที่เรารองเท้าเสีย พอเดินไปเจอกับคนที่ให้บริการขัดรองเท้าอยู่ริมถนน เค้าก็ซ่อมให้ พอเราจะจ่ายเงิน เค้าก็ปฏิเสธไม่รับเงินอีกต่างหาก ประทับใจตั้งแต่วันแรกเลย
ที่พลาดไม่ได้สำหรับการมาเที่ยวที่ Casablanca เลย คือมัสยิด Hassan II Mosque ที่เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดของโมร็อคโคและของทวีปแอฟริกา มัสยิดจะตั้งอยู่ริมทะเล ในตัวมัสยิดจะตกแต่งด้วยลวดลายโมเสคตามสไตล์อาหรับที่สวยมาก
ต่อจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปยังกรุง Rabat ซึ่งเป็นเมืองหลวงของโมร็อคโค แล้วแวะเที่ยวที่ Kasbah of the Udayas คำว่า Kasbah มีลักษณะคล้ายๆชุมชนในป้อมปราการ ข้างในจะมีสวนตกแต่งคล้ายสวนสเปน มีบ้านเรือนเป็นสีขาวฟ้า ตรงระเบียงท้ายหมู่บ้านจะมีคาเฟ่ที่ตั้งอยู่บนเนินสูง นักท่องเที่ยวก็สามารถนั่งจิบชากาแฟและชมวิวของปากแม่น้ำ Bou Regreg ที่จะไหลไปบรรจบกับมหาสมุทรแอตแลนติก
วันต่อมาเราไปเดินเล่นในเมือง Fez ซึ่งเป็นเมืองหลวงในอดีตที่เก่าแก่ของโมร็อคโค เราเดินเข้าไปในเขตเมืองเก่าเรียกว่า The Medina of Fez ที่ได้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมืองนี้มีความพิเศษตรงที่วิถีชีวิตอันมีเสน่ห์ของชาวพื้นเมืองที่ยังไม่ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอกมากนัก และช่วงเวลาที่เราไป นักท่องเที่ยวก็ยังไม่เยอะมาก ทำให้เราได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นจริงๆ
เราเรียกรถแท็กซี่จากโรงแรมมาประมาณ 10 นาที แล้วเค้าจะมาจอดที่หน้าประตูเมืองเพื่อให้เราเดินต่อเข้าไป ในเขตเมืองเก่านี้เป็นชุมชนขนาดใหญ่และไม่สามารถนำรถเข้าไปได้ ถือเป็นเขตชุมชนปลอดรถยนต์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ประกอบด้วยตรอกซอกซอยเป็นพันๆตรอก มัสยิด ตลาด และยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเช่นกัน
ตอนแรกเราคิดว่าจะเดินเองไปเรื่อยๆ แบบไม่ดูแผนที่ เพราะคิดว่าเดินแบบหลงๆ ก็น่าจะสนุกไปอีกแบบ สุดท้ายปรากฏว่ามีไกด์ท้องถิ่นซึ่งอยู่แถวนั้นพยายามเดินเข้ามาทักทาย เห็นราคาไม่แพง ก็เลยตกลงใช้บริการไป ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เค้าพาเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอย ซึ่งคิดว่าถ้าเดินเองแล้ว อาจจะหาทางออกไปถนนใหญ่ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีไกด์ท้องถิ่นเดินนำ
ใน Medina ปกติแล้วก็จะมีคนเปิดร้านขายของ แต่ช่วงที่เราไปนั้นเป็นช่วงเดือนรอมฎอนพอดี ร้านค้าไม่ค่อยเปิดตอนกลางวัน ชาวบ้านไม่ค่อยออกมาเดินซื้อของกันมากนัก ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบไปอีกแบบ บ้านเรือนใน Medina จะเป็นบ้านปูนบ้านดินสีน้ำตาลเกือบทั้งหมด ภายนอกไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก แต่ภายในจะตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสคลวดลายงดงามหรูหรามาก ไกด์พาเราเดินเข้าบ้านนู้นออกบ้านนี้เพื่อดูศิลปะภายในอยู่หลายหลัง เจ้าของบ้านก็ดูเป็นมิตร บางบ้านก็เปิดเป็นร้านอาหาร ร้านขายของ ขายโคมไฟ ตะเกียง พรม ของที่ระลึกต่างๆ
วัฒนธรรมของคนโมร็อคโคคือเมื่อมีแขกมาเยี่ยม ก็จะบริการด้วยชามิ้นต์ ชุดชาจะเป็นสีเงินและเทใส่แก้วใสๆ ซึ่งเป็นเหมือนกับชาประจำชาติของโมร็อคโคก็ว่าได้ รสชาติของชามิ้นต์ไม่ค่อยถูกปากเรามากนัก เพราะชาจะมีรสหวานแปลกๆ
ไกด์เราพาเดินต่อไปที่ Madrasa Bou Inania ที่เป็นทั้งมัสยิดและสถานที่สอนศาสนา ตกแต่งอย่างสวยงามทุกตารางนิ้วด้วยโมเสคและไม้แกะสลักตั้งแต่กำแพงถึงเพดาน
เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะผ่านอีกหลายๆมัสยิด หลายที่ที่เราไม่สามารถเข้าไปชมได้เพราะไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ได้แต่เพียงมองจากด้านนอกเข้าไปเท่านั้น
เดินมาไม่นานก็ถึงสถานที่ฟอกหนังที่เก่าแก่ที่สุด เป็นการฟอกหนังโดยใช้มือและวิธีแบบธรรมชาติ การจะเข้าไปดูได้นั้น ต้องเดินเข้าไปในบ้านคนที่มีระเบียง ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกดัดแปลงมาเป็นร้านขายเครื่องหนัง และไกด์ก็พาเข้าไปที่ร้านขายเครื่องหนังร้านหนึ่ง เค้าจะมีใบมิ้นท์วางให้เราหยิบไปเป็นกำ เพื่อให้ดมกลบกลิ่นของแอมโมเนียจากการฟอกหนัง ที่ร้านนี้จะมีระเบียงเปิดโล่ง ทำให้เราเห็นวิวพาโนรามาของกิจกรรมการฟอกหนังทั้งหมด
จากเมือง Fez เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง เพื่อเข้าสู่โมร็อคโคตอนในที่เมือง Erfoud ซึ่งเป็นเมืองทะเลทราย วิวจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากวิวภูเขาสีเขียว เป็นวิวภูเขาดินสีน้ำตาลของเทือกเขา Atlas แล้วจึงเปลี่ยนเป็นวิวทะเลทราย เราแวะพักที่เมือง Erfoud สองคืนเพื่อใช้เวลาสำหรับการไปเที่ยวทะเลทรายซาฮาร่า ที่เป็นทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของโลก
สภาพอากาศก็เหมือนในรูปเลย อากาศร้อนมากๆ ร้อนกว่าเมืองไทยเยอะเลย แดดเปรี้ยง และอากาศแห้งมาก ประมาณ 42-45 องศา ทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติ และทำให้ต้องดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ การเดินทางในเมืองทะเลทรายเช่นนี้ ทำให้เราต้องวางแผนการซื้อน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน เพราะที่นี่ไม่ได้มีร้านมินิมาร์ทเปิดตลอดเวลา อีกทั้งการที่เราท่องเที่ยวในช่วงเดือนรอมฎอน ก็ทำให้บางร้านไม่เปิดในเวลากลางวัน แต่จะเปิดช่วงกลางคืนหลังสามทุ่มเป็นต้นไป
วันรุ่งขึ้นเราไปแวะเที่ยวเมืองเล็กๆ ชื่อว่า Rissani เมืองนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยนอกจากกลุ่มของเรา ไกด์พาเราเดินเล่นในตลาดสดที่ดูแปลกตา ข้างในขายของสดแบบดิบมาก มีหั่นหัวแพะกันกลางตลาด หลังจากนั้นก็พาไปดูคอกแพะและที่จอดลา เพราะชาวบ้านที่นี่เค้าจะใช้ลาเป็นพาหนะสำหรับขนส่ง บ้านเมืองที่นี่จะมีสีสันน่ารัก เป็นสีส้มชมพูๆ โทนพาสเทล
จุดหมายปลายทางของเย็นวันนี้ คือ Merzouga sand dunes แห่งทะเลทรายซาฮาร่า ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดนโมร็อคโค ติดกับประเทศแอลจีเรีย เรานั่งรถ 4WD จากตัวเมือง Erfoud เพื่อเข้าไปที่นี่ประมาณหนึ่งชั่วโมง หลังจากนั้น เราต้องเดินเท้าเข้าไปใน sand dunes เพื่อดูพระอาทิตย์ตก แต่สำหรับคนที่ไม่อยากเดิน เค้าก็มีบริการขี่อูฐเข้าไปได้เหมือนกัน
สำหรับเรา เราเลือกที่จะเดินเท้าเข้าไป บรรยากาศการเดินในทะเลทรายเป็นบรรยากาศที่งดงามมาก ทรายเป็นสีเหลืองแดงแบบละเอียด และการเดินถอดรองเท้าทำให้เราได้สัมผัสกับความนุ่มของทะเลทรายจริงๆ เราเดินเล่น นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่น อยู่ที่ทะเลทรายพักใหญ่ๆ ไป ถึงแล้วไม่อยากกลับเลย แต่พอฟ้าใกล้มืด ไกด์นำทางก็เรียกให้เราเดินกลับ ไม่งั้นจะหาทางกลับลำบาก
วันรุ่งขึ้น จากเมือง Erfoud เรานั่งรถอีกประมาณ 6 ชั่วโมงเพื่อไปพักที่เมือง Ouarzazete เมืองนี้เป็นเมืองที่โด่งดังสำหรับการถ่ายหนังฮอลลีวูด ถ่ายหนังมาแล้วหลายพันเรื่อง เช่น Prince of Persia, The Mummy, Gladiator รวมไปถึงซีรีย์อันโด่งดังเรื่อง Game of Thrones เค้าว่ากันว่าชาวเมืองที่นี่ทุกคนเคยแสดงในหนังฮอลลีวูดมาแล้วอย่างน้อยก็คนละหนึ่งเรื่อง ส่วนวันที่เราไป กองถ่ายของ James Bond 007 Spectre ก็เพิ่งเดินทางมาถ่ายทำที่นี่ไปเอง
ที่เมืองนี้มีสถานที่ที่เป็นมรดกโลกชื่อว่า Ait Benhaddou เป็นหมู่บ้านในป้อมปราการที่ชาวโมร็อคโคเรียกว่า Ksar บ้านอยู่อาศัยของคนที่นี่จะเป็นบ้านดิน แม้ว่าอากาศข้างนอกจะร้อนมากถึง 42 องศา แต่ถ้าเดินเข้าไปในหมู่บ้านจะไม่รู้สึกร้อนเลย ที่นี่ก็เป็นสถานที่หนึ่งที่ใช้ถ่ายทำ Game of thrones ด้วยเหมือนกัน (ในซีซั่น 3 ตอนที่ Daenerys ยกทัพไปที่เมือง Yunkai)
สินค้าที่มีชื่อเสียงของโมร็อคโค นอกจากจะมีพรม เครื่องหนัง และผลไม้แห้งแล้ว สิ่งหนึ่งที่แปลกไปกว่าประเทศอื่นๆ คือ ในเมืองทะเลทราย จะมีร้านขายแร่และฟอสซิลจำนวนมาก และขายในราคาถูกเลยทีเดียว ร้านส่วนใหญ่จะเอาแร่และฟอสซิลที่ขุดได้ออกมาเรียงหรือวางรวมๆใส่ในกระบะ แร่ก็มีหลากหลายรูปแบบและมีทุกสี แต่จะเป็นแร่ที่ไม่ผ่านกระบวนการอะไรเลย คือขุดมาแบบไหนก็เอามาขายแบบนั้น ซึ่งก็ดูสวยแบบดิบๆ ไปอีกแบบ ส่วนฟอสซิลก็มีตั้งแต่ฟอสซิลรูปก้นหอย ไปจนถึงฟอสซิลเขี้ยวปลาฉลาม
วันนี้เราอยู่ที่เมือง Marrakesh เป็นเหมือนเมืองตากอากาศของชาวยุโรป นักท่องเที่ยวที่นี่เยอะมากล้วนแต่เป็นฝรั่งทั้งนั้น ต่างจากทุกเมืองที่เราไปมาที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ตึกรามบ้านช่องทั้งหมดจะเป็นสีชมพูแดง Marrakesh จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Pink city เราพักอยู่ในย่านเมืองใหม่ จากโรงแรมเราเรียกแท็กซี่เพื่อไปยังจัตุรัสกลางเมืองที่สำคัญที่สุด Jemaa el-Fnaa
การเรียกแท็กซี่ในโมร็อคโคนั้น ราคาถูกมากแล้วก็เรียกไม่ยาก อยากขึ้นตรงไหนก็เรียก เพียงแต่ว่าจะต้องยืนยันว่าเราจะจ่ายตามมิเตอร์เท่านั้น ถ้าเค้าไม่ใช้มิเตอร์เค้าจะคิดราคาแพง ค่าแท็กซี่ที่โมร็อคโคราคาเริ่มต้นประมาณ 10 บาทของไทย จากโรงแรมไปจัตุรัสกลางเมืองก็ราคาทั้งหมดเพียงแค่ 60 บาท ที่นี่น้ำมันราคาถูกมาก (ประมาณลิตรละ 25-28 บาท) บางเมืองที่อยู่กลางทะเลทราย น้ำมันอาจราคาถูกกว่าน้ำเปล่าขวดหนึ่งเลย แต่ถึงแม้ว่าน้ำมันจะราคาถูกยังไง หรืออากาศจะร้อนมากแค่ไหน แท็กซี่ที่นี่จะไม่เปิดแอร์เลย เวลานั่งแท็กซี่จะรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาอบดีๆนี่เอง
ที่จัตุรัสนี้ จะมีคนมาขายของมากมาย รวมไปถึงของที่ระลึกต่างๆ ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นซุ้มขายน้ำส้มที่ตั้งเรียงกันอยู่หลายซุ้มกลางจัตุรัสนี้ แล้วยังมีโชว์การแสดงลิงและเป่าปี่เรียกงูให้เห็นอยู่รอบๆ จัตุรัสด้วย
จากจัตุรัสเราเดินเข้าไปในเขตเมืองเก่าเพื่อไป Ben Youssef Madrasa ซึ่งเป็น Madrasa (สถานที่สอนศานา) ที่ใหญ่ที่สุดในโมร็อคโคเป็นสถาปัตยกรรมโบราณที่สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 มีห้องพักสำหรับนักเรียนกว่าร้อยห้อง ตกแต่งด้วยหินและกระเบื้องแกะสลักอย่างสวยงาม
เดินเล่นอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เรียกแท็กซี่ไปสวนที่โด่งดังที่สุดของมาราเกซ Jardin Majorelle สวนนี้เป็นสวนที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ตกแต่งสไตล์ Art Nouveau มีวิลล่าสีน้ำเงินสดอยู่ตรงกลาง ออกแบบโดยศิลปินชาวฝรั่งเศสชื่อ Jacques Majorelle จากนั้น Yves Saint-Laurent ได้ซื้อวิลล่าที่นี่ต่อ และดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ในเวลาต่อมา
ช่วงเดือนรอมฎอนอาหารการกินจะลำบากหน่อย ร้านอาหารไม่ค่อยจะเปิดตามเวลาที่เราอยากจะกินซักเท่าไหร่ ประกอบกับการที่เราเป็นคนทานยากอยู่แล้ว ทำให้ต้องพึ่งพาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พกมาจากบ้านหลายมื้อเลย แต่ก็ยังมีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่พอจะเปิดในช่วงเวลาปกติอยู่บ้าง
โดยรวมแล้ว ทริปนี้เป็นทริปที่เราประทับใจมาก ได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างจากกระแสหลัก ที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นการเดินทางไปยังอีกซีกหนึ่งของโลก ถึงแม้เราจะอยู่ท่องเที่ยวเป็นระยะเวลาไม่นาน แต่ก็ทำให้เราเห็นว่าผู้คนของประเทศโลกมุสลิมน่ารัก มีน้ำใจ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ทำให้เราอยากไปเยือนอีกครั้ง ต่อจากนี้ ถ้าใครถามเราว่าประเทศไหนที่เราประทับใจมากที่สุด คงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่าคือประเทศโมร็อคโค
About the Author
Prang & Priew
Prang and Priew are sisters who like traveling for different reasons. Some common things are the love of arts and the thrill of exploring new territories. Prang is a business consultant, and Priew is an architecture student.
3 Comments
-
Nattapreeya L.
I would say I love your review so much. It’s inspiring me a lot.
<3
-
mimiw
อยากทราบค่าใช้จ่ายทั้งงทริปอะคะ เคยคิดจะไปนานแล้วแต่ไม่ได้ไปสะที ><
Comments are closed.
ณัฐชนก
ยอดเยี่ยมมากค่ะ