5 ปลายทางต่อไปที่คนมี passion ในการเดินทางต้องรู้จัก
ทุกครั้งที่การเดินทางจบลง จะต้องมีคนที่เกิดคำถามขึ้นในหัวว่า
“ทริปต่อไปเที่ยวไหนดี ?”
บางคนกางแผนที่โลก ลากนิ้วหาชื่อดินแดนที่ไม่คุ้นตาเพื่อปักหมุดจุดหมายแห่งใหม่ บางคนคิดจะกลับไปย้ำสำรวจเส้นทางเดิมให้ไกลออกไปอีก บางคนเซฟรูปสถานที่ในฝันเอาไว้เป็นแรงกระตุ้น passion ให้ใจเต้นตึกตักทุกครั้งที่เปิดดู บางคนเปิดเว็บเช็คราคาตั๋วเครื่องบินตั้งแต่ยังเลือกที่ไม่ได้ หายใจเข้าหายใจออกเฝ้านึกถึงการเดินทางครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึง
ในช่วงนี้ปลายทางยอดนิยมประจำปี 2015-2016 อย่าง EBC, ABC, เลห์ ลาดัก, ภูเขาไฟโบรโม่ และไอซ์แลนด์ ได้กลายเป็นกระแสในหมู่นักเดินทางกลุ่มใหม่ๆ หลายคนได้นั่งรถ overland ทางไกลระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรเป็นครั้งแรก และเริ่มมองหาจุดหมายใหม่นอกขอบเขตที่ตนเองเคยรู้จัก
หากใครกำลังคิดอยู่ว่า “ทริปต่อไปเที่ยวไหนดี ?” มาลองมองหาแรงบันดาลใจให้กับการเดินทางครั้งต่อไปจากเส้นทางเหล่านี้กันดู
Wild Atlantic Way – ไอร์แลนด์
ย้อนไปในยุคที่คนยังเชื่อว่าโลกแบนและเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ไอร์แลนด์ถือเป็นดินแดนสุดขอบโลก ที่เหล่านักบวชจากคริสตจักรจะปลีกวิเวกมาตั้งถิ่นฐานห่างไกลจากอารยธรรม จนถึงทุกวันนี้ ไอร์แลนด์ก็ยังเป็นประเทศที่ไกลจากสายตานักท่องเที่ยว ที่มักจะหยุดอยู่แค่เมืองใหญ่ในยุโรป
Wild Atlantic Way คือถนนเลียบชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกทางตะวันตกของประเทศไอร์แลนด์จากเหนือสุดจรดใต้สุด ระยะทางกว่า 2,500 กิโลเมตรที่เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2014 เส้นทางนี้ถูกวางไว้ให้นักเดินทางสามารถขับรถชมทัศนียภาพเต็มรูปแบบได้เกือบรอบประเทศ ผ่านจุดท่องเที่ยวสำคัญถึง 157 แห่ง
การขับรถจากดอนิกอล (Donegal) เมืองชนบทห่างไกลทางเหนือสุด ที่คนท้องถิ่นยังพูดไอริชเป็นภาษาหลัก ลงมาจนถึงปลายทางทิศใต้ที่คอร์ก (Cork) เมืองใหญ่อันดับ 2 ของประเทศไอร์แลนด์ ที่มีประวัติศาสตร์เคยเป็นถิ่นฐานชาวไวกิ้ง ที่มาตั้งเมืองท่าสร้างเส้นทางการค้าเอาไว้ตั้งแต่กว่าพันปีก่อน ใช้เวลาในการขับอย่างน้อย 2-4 วันแบบรวดเดียว แต่ระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการขับแวะเที่ยวเก็บจุดน่าสนใจต่างๆ คือประมาณ 2 สัปดาห์
© Andrea Pucci/Flickr
ตลอดเส้นทาง นักเดินทางจะได้เห็นความตระการตาของทุ่งหญ้าเขียวขจีไม่มีที่สิ้นสุด ป้อมปราสาทยุคกลาง และ มหาสมุทรเกรี้ยวกราดที่ถาโถมซัดสาดหินผาปราการแกร่งของธรรมชาติ ผ่านจุดท่องเที่ยวระดับประเทศ เช่น Cliffs of Moher หน้าผาที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอร์แลนด์ ซึ่งเคยปรากฏอยู่ในฉากสำคัญของ Harry Potter and the Half-Blood Prince และเกาะ Skellig Michael หรือเกาะเจไดใน Star Wars: The Force Awakens หรือแม้แต่เมืองที่มีตำนานโจรสลัดแถบ Mayo ซึ่งเป็นฐานของอดีตราชีนีโจรสลัด Grace O’Malley ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเทียบได้กับ “โจรสลัดหนวดดำ” และยังมีกิจกรรมมากมายให้ทำตลอดทาง เช่นชมการโต้คลื่นยักษ์แบบ tow-in surfing ที่ Mullaghmore Head สัมผัสชีวิตสัตว์ทะเลด้วยการล่องเรื่องชมวาฬ โลมา อาณานิคมแมวน้ำและนกพัฟฟิ่น
© Brian Cooney
© Justyna Markiewicz
© Gareth Wray
Zanzibar – แทนซาเนีย
ใครก็ตามที่เป็นแฟน Queen วงร็อคระดับตำนานของอังกฤษ น่าจะต้องเคยได้ยินชื่อเมือง “แซนซิบาร์” และทราบดีว่าเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ สุดยอดนักร้องนำของวง ไม่ใช่ชาวอังกฤษโดยกำเนิด แต่เกิดที่ Stone Town ย่านเมืองเก่าของเกาะเครื่องเทศในดินแดนแอฟริกาตะวันออกแห่งนี้
© flameofafrica.com
หาดทรายขาวและทะเลสีครามของแซนซิบาร์เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาแข่งกับเกาะมอริเชียสในเขตทะเลเดียวกัน ที่มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้วด้านความงามทางธรรมชาติและบรรยากาศโรแมนติกของรีสอร์ทหรู แต่เมื่อเทียบกันแล้ว แซนซิบาร์ซึ่งเป็นเมืองท่าค้าเครื่องเทศเก่าแก่นับพันปี ที่เชื่อมต่ออาณาจักรเปอร์เซีย อินเดียตะวันตก และยุโรปเข้าด้วยกัน ถือว่ามีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมกว่ามาก แถมที่นี่ยังง่ายต่อการข้ามไปฝั่งแทนซาเนียเพื่อจัดทริปซาฟารีที่อุทยานแห่งชาติเซเรนเกติ (Serengeti National Park) เขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของแอฟริกา ที่สามารถเห็นการอพยพที่ใหญ่ที่สุดในโลกของฝูงสัตว์กว่า 1.5 ล้านตัวได้อีกด้วย
© International Traveler
© Shaikha Al Khayyal/Flickr
ตัวเมืองแซนซิบาร์ ยังคงความผสมผสานทางวัฒนธรรมจากแต่ละยุคสมัยให้ได้เห็น ไม่ว่าจะโรงอาบน้ำแบบเปอร์เซียโบราณ มหาวิหารคริสต์ มัสยิดอิสลาม ป้อมปราการของสุลต่าน บ้านสไตล์อาหรับ ซึ่งเชื่อมต่อถึงกันหมดด้วยตรอกซอยเล็กๆ ที่นี่ยังเคยเป็นสมรภูมิของสงครามที่ “สั้นที่สุดในโลก” ระหว่างกองทัพสหราชอาณาจักรกับสุลต่านผู้ปกครองแซนซิบาร์ ซึ่งจบลงภายในเวลาเพียง 38 นาที ปัจจุบันบริเวณเมืองเก่า (Stone Town) ถือเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ ของหนึ่งในตลาดค้าทาสแห่งสุดท้ายของแอฟริกา ซึ่งอนุสรณ์สถานเตือนใจถึงยุคสมัยอันโหดร้ายอยู่
© Pydjaï/Flickr
Silfra – ไอซ์แลนด์
ไอซ์แลนด์ มีอะไรให้ทำมากกว่าแค่ใช้ตาดู!
หลายปีมานี้ไอซ์แลนด์กลายเป็นที่นิยมขึ้นอย่างมากในหมู่นักเดินทางชาวไทย แต่นอกจากการล่าแสงเหนือ แช่น้ำแร่ Blue Lagoon หรือตามหาซากเครื่องบิน Sólheimasandur แล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่จะทำให้เราสามารถสัมผัสไอซ์แลนด์ได้ลึงซึ้งจนถึงรูขุมขน คือการดำน้ำระหว่างเปลือกทวีป
Silfra คือรอยแยกของแผ่นเปลือกโลกทวีปยูเรเซียและอเมริกาเหนือที่เคลื่อนตัวออกจากกัน จนเกิดเป็นแนวร่องลึกใต้น้ำที่สวยงาม น้ำที่รอยแยก Silfra ละลายมาจากธารน้ำแข็ง Langjökull ซึ่งถูกกรองผ่านชั้นหินลาวาใต้ดินผ่านเวลานับร้อยปีอย่างช้าๆ จนกระจ่างใสขนาดนี้สามารถมองเห็นใต้น้ำได้ไกลเป็น 100 เมตรทุกทิศทาง ด้วยความพิเศษทางธรณีวิทยานี้เอง Silfra จึงเป็นแหล่งดำน้ำแห่งเดียวในโลก ที่นักดำน้ำสามารถอยู่ระหว่าง 2 ทวีปได้พร้อมๆ กัน
รอยแยก Silfra เป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบ Þingvallavatn ทะเลสาบตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ ในเขตอุทยานแห่งชาติซิงเควลลิร์ (Þingvellir หรือ Thingvellir National Park) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ซึ่งนอกจากทะเลสาบแล้ว ที่นี่ยังมีน้ำตก Öxarárfoss ถ้ำปล่องลาวา Gjabakkahellir ธารน้ำ และหน้าผาที่สวยงามอีกหลายแห่งให้ได้ชมกันอีกด้วย
All images © dive.is
Karakoram Highway – ปากีสถาน
หลังจากดินแดนทิเบตน้อยเลห์ ลาดักทางตอนเหนือของอินเดีย และการไปเดิน EBC กับ ABC ที่เนปาล เริ่มกลายเป็นกระแสนิยม และได้เปิดประตูสู่ดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัยให้กับใครหลายคน จุดหมายถัดไปสำหรับคนที่เริ่มหลงใหลดินแดนนี้ และสนใจอยากจะกระเถิบเส้นทางออกไปอีกหน่อย คงจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ Karakoram Highway ในประเทศปากีสถาน
© lindaandandy/ Flickr
คาราโครัมไฮเวย์ (Karakoram Highway) เป็นทางหลวงที่สูงที่สุดในโลก ที่เชื่อมระหว่างเขตปกครองพิเศษกิลกิตบัลติสถานในประเทศปากีสถาน กับเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ในประเทศจีน ระยะทางรวม 1,300 กิโลเมตร โดยมีจุดสูงสุดอยู่ที่ 4,693 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่ด่านคุนจีราบ (Khunjerab Pass) รอยต่อชายแดนจีน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม โครงข่ายการค้าเชื่อมตะวันออกกับตะวันตก ที่ว่ากันว่ามาร์โคโปโลเคยใช้เดินทางสู่จีนในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 อีกด้วย
© bilalqasim/Flickr
© Scott Weinstein/Flickr
ความสวยงามของภูมิทัศน์และทัศนียภาพบนเส้นทางคาราโครัม มักถูกยกมาเปรียบเทียบว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์แดนหิมาลัย ด้วยความที่ฤดูใบไม้ผลิมีซากุระบานสะพรั่ง ฤดูใบไม้ร่วงพรรณไม้ก็เปลี่ยนสีย้อมหุบเขาที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาห่มหิมะสูงตระหง่าน มีพื้นที่น่าสนใจมากมาย เช่น หุบเขานาการ์ (Nagar valley) หุบเขาฮุนซ่า (Hunza valley) หุบเขากีเซอร์ (Ghizar valley) ธารน้ำแข็งพาสสุ (Passu glacier) และทุ่งหญ้าเทพนิยาย Fairy Meadows ซึ่งสามารถมองเห็นยอดเขานังกาปาร์บัต (Nanga Parbat) และเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางปีนเขาชมธรรมชาติและพิชิตยอดที่สูงเป็นอันดับ 9 ของโลกอีกด้วยส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม
© _skynet/Flickr
© Najeeb Mahmud/Flickr
© Peter Gostelow / Flickr
ประเทศคิวบา
รัม ซิการ์ จังหวะดนตรีซัลซ่า และกลิ่นอายจากยุคแห่งการปฏิวัติ คือเสน่ห์ของคิวบา เกาะใหญ่ที่สุดในทะเลแคริบเบียน และประเทศคอมมิวนิสต์ประเทศเดียวในทวีปอเมริกาเหนือ ดินแดนที่งดงามและอุมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติแห่งนี้ ผ่านการต่อสู้มายาวนานตั้งแต่ยุคอาณานิคม ทั้งจากชาติตะวันตกและโจรสลัด ต่อสู้เพื่อประกาศเอกราชจากอเมริกา ต่อสู้กับระบบเผด็จการ จนปฏิวัติสำเร็จและทำให้โลกได้รู้จัก ฟิเดล คาสโตร กับ เช กูวารา และคำว่า Viva La Revolución
© Vitor Coelho Nisida/Flickr
หลังจากชัยชนะของการปฏิวัติปี 1959 เป็นต้นมา คิวบาก็ปกครองประเทศด้วยระบบคอมมิวนิสต์ และค่อนข้างจะปิดตัวเองจากประชาคมโลกประชาธิปไตยเรื่อยมา วิถีชีวิตหลังม่านเหล็กของชาวคิวบาจึงเหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ ที่ฮาวาน่าตึกรามบ้านช่องจากยุคอาณานิคมยังคงถูกใช้ในชีวิตประจำวัน รถอเมริกันคลาสสิคจากยุค 50s ยังวิ่งขวักไขว่เต็มท้องถนนราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์รถโบราณที่ยังมีชีวิต ทำให้คิวบามีเสน่ห์เฉพาะตัวไม่เหมือนที่ไหนๆ
© Vitor Coelho Nisida/Flickr
© The Web Ninja/Flickr
ในช่วงยุค 60s คิวบาเคยเกือบจะเป็นชนวนสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศบนโลก ที่อเมริกันชนผู้ภาคภูมิใจในเสรี ไม่มีสิทธิเดินทางไปเที่ยว จนกระทั่งเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา เมื่อประธานาธิบดีโอบาม่าฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการฑูตกับคิวบา หลังความขัดแย้งทางการเมืองที่ยาวนานกว่า 50 ปี ตลาดการท่องเที่ยวคิวบาจึงเปิดขึ้นอีกครั้ง และกำลังเป็นที่สนใจในหมู่นักเดินทางชาวอเมริกัน
© Vitor Coelho Nisida/Flickr
ทุกวันนี้ถนนที่เต็มไปด้วยสีสันของฮาวาน่าอ้าแขนต้อนรับนักท่องเที่ยวมากขึ้นทุกปี ถึงขนาดที่เริ่มมี airbnb ให้พักบ้านชาวคิวบาแล้ว และล่าสุดเครือธุรกิจโรงแรมหรูของอเมริกันอย่าง Starwood ก็กำลังจะมาเปิดธุรกิจบนแผ่นดินคิวบาเป็นครั้งแรกในรอบครึ่งศตวรรษ ด้วยเหตุนี้เองที่หลายคนเชื่อกันว่าเสน่ห์ดั้งเดิมของคิวบา อาจจะกำลังจางหายไปพร้อมกับความพัฒนาที่มาถึง นักเดินทางที่ยังอยากสัมผัสคิวบาแบบแท้ๆ จึงควรรีบไปเยือนก่อนที่มวลมหาชนนักท่องเที่ยวจะกลืนเกาะสวรรค์แห่งนี้ไปในไม่ช้า
45 วันคือเวลาเฉลี่ยที่คนกรุงเทพฯ ติดอยู่บนถนนต่อปี ในทางกลับกัน 45 วันนั้นสามารถกลายเป็นเวลาพักผ่อน ได้ทำในสิ่งที่ชอบ หรือใช้ชีวิตที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ ANANDA จึงจับเอา Passion มาเป็นแนวคิดพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ชีวิตของคนเมืองในแบบฉบับของ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ www.ananda.co.th/urbanlivingsolution
เพราะจุดหมายหนึ่งสามารถเป็นแรงบันดาลใจ ที่นำไปสู่จุดหมายถัดไปได้เสมอ และ passion ก็สามารถขับเคลื่อนให้คนที่รักการเดินทางไม่หยุดที่จะค้นหาเส้นทางใหม่ๆ จึงไม่มีปลายทางไหนที่เป็นไปไม่ได้ หากใจเราเรียกร้อง และพร้อมที่จะออกไปท่องโลกเพื่อเติมเต็มชีวิต #LIVEWITHPASSION