Off the Beaten Track หนีกรุงมุ่งสู่ทะเลดาวและภูเขาไฟที่ อินโดนีเซีย

ปกติแล้ว เวลาที่มีเวลาว่าง ผมมักจะเดินทางไปที่ไหนสักที่ ที่ที่คนเค้าไม่ไปกัน บางครั้งก็ไปกับครอบครัว บางครั้งก็ไปคนเดียว แต่ครั้งนี้โชคดีหน่อย ที่เพื่อนผมปิดเทอมก่อนจะขึ้นปี 4 ก็เลยมีเพื่อนไปด้วย จริงๆเราวางแผนกันไว้ ว่าจะไป Leh Ladakh ตามรอยพี่นัทจากเว็บนี้นี่แหล่ะครับ หาข้อมูลซะดิบดี เกิดแผ่นดินไหวซะงั้น ไอ่เราก้คิดว่า ราคาตั๋วน่าจะถูกลงนะ เพราะคนน่าจะกลัวแต่เราก็จะไป สุดท้ายกดไปดูตั๋ว ตั๋วไม่ใช่แพงนะครับ แต่ไม่มีซะงั้น เราก็เลยหาที่ใหม่ดูว่ามีที่ไหนน่าไปบ้าง ละก็มาโดนใจ อินโดนีเซีย นี่แหล่ะครับ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนชอบธรรมชาติละก็พลาดไม่ได้จริงๆเพราะได้ไปทั้งภูเขา ภูเขาไฟ ทะเล ทะเลสาบ น้ำตก ดูดาว ในทริปเดียว ฟินนน~

Day 1 – มีตั๋ว มีพาสปอร์ต มีเงิน แต่ไม่ได้บิน ?

เช้าวันอังคารตี 5.30 ที่สนามบินดอนเมือง ผมกับเพื่อนอีก 3 คนนัดเจอกันข้างหน้าสนามบิน หลังจากที่ check-in กับตู้อัตโนมัติที่หน้าสนามบินแล้ว เราก็ไปโหลดกระเป๋าที่เคาน์เตอร์ Air Asia (ผมไม่ค่อยเข้าใจนะว่าถ้าใช้ตู้ check-in อัตโนมัติแล้วทำไมเวลาโหลดกระเป๋าต้องไปต่อคิวอีก 5555 พอดีผมขึ้นเครื่องบินที่สนามบินนี้ครั้งแรกอะครับ ^^) ตอนที่ไปขอโหลดกระเป๋า เราก็ยื่นพาสปอร์ตให้พี่ที่เคาน์เตอร์ หลังจากนั้น พี่เค้าก็เรียกชื่อคนนึงขึ้นมา ซึ่งก็คือผมเองนี่แหล่ะครับ ไอ่เราก็คิดว่าเรียบร้อยเตรียมขึ้นเครื่อง แต่เปล่าครับกำลังหยิบพาสปอร์ตเดินหันหลัง พี่เค้าก็พูดมาว่าน้องคนนี้ (ผมเองฮะ) ไปไม่ได้นะคะ ผมก็งงสิครับ?? ตอนแรกผมก็คิดว่าพี่เค้าล้อเล่นนะ แต่เปล่าครับ พี่เค้าบอกว่าที่ผมบินไม่ได้ก็เพราะว่า พาสปอร์ตผมเหลืออายุไม่ถึง 6 เดือนก่อนออกเดินทาง ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ขาด1 วันก็ไม่ได้คะ

คือของผมมันเหลือ 3 เดือนกับอีก 1 วัน แล้วผมบอกพี่เค้าว่า ผมไปแค่ 6 วันนะ มีตั๋วไป-กลับที่ชัดเจน ระบุวัน โรงแรมที่พักก็จองแล้ว พี่ล้อผมเล่นเปล่าเนี่ยะ สรุปแล้วพี่เค้าไม่ได้ล้อผมเล่นครับ ผมไปไม่ได้จริงๆ ผมเลยให้เพื่อนผมไปกันก่อนเลย ส่วนผมเหรอครับ!? ผมต้องไปที่กงศุล อยู่ที่หลักสี่ (โชคดีที่อยู่ใกล้ดอนเมือง) ขอทำพาสปอร์ตแบบวันเดียวได้ แต่ค่าใช้จ่าย ต้องจ่าย 3 เท่า (3,000 บาท) ซึ่งจะต้องไปยื่นเรื่องก่อน เที่ยงครึ่งและรับสมุดเล่มใหม่ได้ หลัง บ่ายสามโมงเท่านั้นน !! ย้ำว่าเท่านั้นเพราะผมขอเค้าว่าขอก่อนเที่ยงได้ไหมเผื่อจะเปลี่ยนตั๋วไปตอนบ่ายได้ทัน 555 (มีการต่อรอง) แต่พี่เค้าบอกว่าไม่ได้ มาหลัง 3 โมงเท่านั้นน!! ไหนจะ ค่าแท๊กซี่, ค่าโรงแรมคืนแรก, ค่าเปลี่ยนตัว วันนั้นทำเอาผมหัวเสียใช่ย่อย สรุปคืนนี้ผมต้องกลับไปนอนที่บ้านจริงๆใช่ไหมเนี่ย? :/

DSCF1529-2

DSCF1525-3

Day 2 – Hello Bali!

ผมต้องตื่นเช้าอีกครั้งเพื่อที่จะไปสนามบิน หลังจากที่ได้พาสปอร์ตเล่มใหม่มา -.-“ ผมนัดกับเพื่อนว่าให้ไปรับผมที่สนามบินหลังจากนั้นเราจะไปหาอะไรกินกัน แล้วเดินทางไปยังวัด Ulun Danu Beratan ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่บริเวณริมทะเลสาบบราตัน ซึ่งถ้าไปถึงแล้ว ผมแนะนำให้เดินไปที่ด้านหลังของวัด จะมีวิวทะเลสาบกับภูเขาที่สวยงามมาก สมัยก่อนภูเขาแห่งนี้เคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน แต่ตอนนี้สงบแล้ว บรรยากาศรอบๆจะมีเมฆหมอกลอยอยู่ด้านหลังของวัดตลอดเวลา ชมวิวได้ไม่นานฝนก็ตก พวกเราเลยออกจากวัดแล้วเดินทางไปยัง Pura Tanah Lot (วิหารทานาต์ลอต) ที่นี่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากๆเพราะเป็นวัดที่ถูกสร้างริมชายหาด คนส่วนใหญ่มานั่งรอชมพระอาทิตย์ตกดินที่นี่ ส่วนพวกผมเหรอครับ อยากหนีที่ที่คนเยอะๆ หาที่นั่งชิวๆดูพระอาทิตย์ตกดิน นั่นก็คือ Melasti Beach ตอนแรกผมบอกคนขับว่าผมอยากไปที่นี่มาก แต่ไม่มีไกด์คนไหนรู้เลย ขนาด Boss ของเค้าเองหรือว่า คนที่อยู่แถบนั้นยังตอบไม่ได้เลยว่าอยู่ตรงไหน ที่ๆผมว่าคือ Melasti beach ผมเห็นช่างกล้องหลายๆคนเค้าไปถ่ายรูปกันที่นั่นเลยอยากไปบ้าง บอกเลยว่าถ้าไปที่วัดนี้ต้องไปที่นี่ให้ได้ unseen จริงๆครับ เราสามารถเดินจากวิหารทานาลอตได้ ถามเค้าว่า Surya Mandara Cultural Park ไปทางไหนเดินไปเรื่อยๆจะเจอร้านอาหาร เดินไปอีกนิดจะเจอลานกว้าง มีป้ายเขียนว่า “Dangerous! Do not go beyond this area” แต่สังเกตดีๆจะมีทางลงไปข้างล่าง ลำบากนิดนึงนะ แต่พอไปถึงจะรู้สึกว่าคุ้มที่ได้มาที่นี หลังจากพระอาทิตย์ตกดินเราก็ไป dinner อาหารทะเล แถวๆ Jimbarun beach   ซึ่งไม่ไกลจากวัดมากเท่าไหร่ครับ

DSCF1401-4

ปล. ที่ผมไม่มีรูปที่ Ulun Danu Beratan ก็เพราะว่าผมทำเมมกล้องหายไว้ที่หาดนี้แหล่ะครับ ถ้าใครไปพบเจอ เมม WiFi ฝากเก็บไว้ด้วยนะครับ แต่ป่านนี้คงโดนน้ำซัดไปแล้ว ช่างมันเถอะ ซวยซ้ำซ้อนจริงๆ 55555

DSCF1365-5

Day 3 – นั่งจนเมื่อย

วันนี้เดินทางทั้งวันเลยครับตั้งแต่เช้ายันเย็น จากโรงแรมไปยังท่าเรือ Gilimanuk เพื่อที่จะข้ามฟากไปยัง Ketapang ซึ่งใช้เวลาเดินทางทั้งหมดราวๆ 6 ชั่วโมง พอถึงท่าเรือที่ Ketapang ก็มีคนมารับ จากนั้นพาเราไปกินข้าวเย็นแล้วก็เข้าโรงแรมนอนเพราะคืนนี้เราต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เที่ยงคืน

Day 4 – ง่วงก็ยอม

เที่ยงคืนมี morning call จากทางโรงแรมครับ เราเริ่มออกเดินทางจากโรงแรมเพื่อที่จะขึ้นไปดู Blue Flame ที่ภูเขาไฟ Kawah ijen (ที่นี่เป็นที่ที่มีเปลวไฟสีน้ำเงินมากที่สุดในโลกนะค้าบ ทำเป็นเล่น) และที่พวกเราต้องออกเดินทางกันแต่เช้าก็เพราะว่าถ้าพระอาทิตย์ขึ้นเมื่อไหร่ จะมองไม่เห็นน่ะสิครับ ตอนแรกกะว่าจะงีบในรถซะหน่อยแต่ทางที่ไปนี่อย่างกับ Indonesia drift โค้งเยอะมากจนไม่ต้องนอนกันเลยทีเดียว เราขึ้นไปถึงข้างบนประมาณตี 2.30 แต่ว่าต้องเดินต่อทางเท้าอีกประมาณ 3 กม ทางเดินไม่ลำบากมาก (เหรอ?) อันนี้ต้องไปลองเองนะครับ แล้วแต่คนจริงๆ เพราะเพื่อนผมบางคนกว่าจะถึงนี่หอบแฮ่กๆ พอไปถึงปั๊ปโหสวยมากกก ที่สวยคือดาวครับเพราะไปถึงตอนตี 4 มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากดาว พวกเราเดินลงไปข้างล่างทั้งๆที่ป้ายเขียนว่าห้ามลงไปมันอันตราย

DSCF1828-6

แต่แหม่! ก็อุตส่าห์มาถึงที่นี่ทั้งทีเนอะ ลงไปซะหน่อย และภาพที่ได้เห็นก็เป็นแบบนี้

DSCF1598-7

ขอบอกก่อนเลยนะว่าเตรียมเสื้อหนาวกันลมไปด้วยเพราะลมพัดมาทีผมนี่อยากจะกระโดดลงไปในทะเลสาบ แล้วก็หาผ้าไปปิดจมูกด้วยนะครับเพราะกลิ่นกำมะถันแรงมากๆๆๆๆๆ เหม็นจริงๆ ผมเห็นคนที่เค้าเข้าไปใกล้ๆควันเพื่อขุดเอากำมะถันไปขาย น่าสงสารมากครับ ไม่รู้ว่าเค้าทนกลิ่นไปได้ไง

DSCF1786-8

DSCF1808-9

เรารอจนพระอาทิตย์ขึ้น ละก็เดินลงไปถึงล่างสุดเลยเพื่อไปถ่ายรูปกับทะเลสาบสีฟ้ามากๆๆ ต้องไปเห็นเองกับตาถึงจะรู้ว่าสวยขนาดไหน จากนั้นก็เดินลงเขา ทางเดินลงก็สวยไม่แพ้กันครับ

DSCF1761-10

DSCF1806-11

DSCF2200-1

DSCF1849-12

DSCF1832-13

DSCF1829-14

เนื่องจากว่าเราไม่ได้กลับไปโรงแรมอาบน้ำก่อนแล้วเดินทางต่อไปยัง Bromo  เลย คนขับเลยพาเราแวะที่ Kaeng Wurung ซึ่งเป็นทางผ่านของทางลงเขาอีกด้านหนึ่ง คนละด้านกับที่ขึ้นนะครับ ถือว่าเป็น Landscape ที่สวยมากๆ ทีนี้สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดละครับหลังจากสูดกำมะถันมานาน

DSCF1958-15

เราถึง Bromo ประมาณ 4 โมง เลยตัดสินใจว่าเราไปลุยน้ำตกกันเลยดีกว่า ใช้เวลาให้คุ้มค่าครับ น้ำตกที่ว่าคือ Madakaripura Waterfall (ราชินีแห่งสายน้ำแห่งชวาตะวันออก) เป็นที่ที่ผมชอบมากที่สุดในทริปนี้เลยก็ว่าได้ เพราะช่วงที่เราไปเป็นช่วงเย็น ไม่มีคนนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย มีพวกเรา 4คนกับคนขับรถไปเล่นน้ำ ชิวมากก สวยมาก เย็นมากกด้วย เท่ากับว่าได้อาบน้ำกันไปเลยทีเดียว 😁

DSCF1973

หลังจากกลับจากน้ำตกเราไปหาอะไรกินกันที่โรงแรมแล้วก็ออกไปล่าช้างต่อ คือพวกเราเหนื่อยกันมากและคิดว่าไม่อยากไปแล้วดูดาวอะไรนั่นง่วงชิบหาย แต่สุดท้ายคนขับก็มาปลุกใจครับ บอกว่าเดี๋ยวพี่พาไปเองน้อง 5 นาทีถึงข้างๆโรงแรมและนี่คือสิ่งที่เราได้เห็นกับตา เง้อออ~~~ ฟิน~~~

DSCF2010-17

อินโดนีเซีย

Day 5 – กว่าจะขึ้นไปถึง

วันนี้ไม่เช้ามากครับ ล้อหมุนตี 3 คราวนี้เราต้องนั่งรถ Jeep ขึ้นไปที่ Mount Penanjakan เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้น ทางที่จะไปชันมาก น้ำมันก็เหม็นมาก ไม่ต้องหวังว่าจะงีบบนรถเลยครับ หลับได้นี่โค่ดเก่ง

พวกเราไปถึงข้างบนตี 4 แต่ภาพที่เห็นไม่ใช่พระอาทิตย์นะครับแต่เป็นนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล คนขับเลยพาเราไปอีกที่ ซึ่งโชคไม่ดีที่วันนั้นหมอกลงเลยมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็จะลงเขาเลยก็ไม่ได้ครับเพราะรถ Jeep ก็เกะกะมาก เลยไปหาโอวัลตินกินสักแก้วกับ Mee Goreng ของโปรดผมเลยครับ นั่งกินชิวๆ ชมวิวที่มีแต่หมอกไปพลางๆ -*-

พอลงจากเขาเราก็เดินทางไปยัง Mount Bromo ทันที ในขณะที่เราลงจากรถ คนเข้ามาขอลายเซนเต็มเลยครับ ถุยยยยย คนเค้ามาถามว่าขี่ม้าไหม แก่งแย่งกันสุดฤทธิ์เพื่อให้พวกผมขี่ สุดท้ายเดินก็ได้วะ แพง 5555 จริงๆไม่แพงมากนะแต่อะไรที่เราสามารถ save money ได้จะประหยัดกันสุดๆ (งกนั่นเอง)

DSCF2118-19

จากรูปข้างบน ที่เห็นนั่นคือปล่องภูเขาไฟ Bromo ควันเยอะแบบนั้นสูดไปทีนี่ยืนแทบไม่ได้นะครับ พูดละกลิ่นลอยมาเลย เพราะกางเกงยีนส์ที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ซักไป 2 รอบแล้วกลิ่นยังไม่หายเลยครับ TT คนขับรถบอกว่ามีคนเคยพลัดตกลงไปข้างล่าง แต่ว่าไม่มีใครช่วยได้ เพราะว่ามันอันตรายมากๆ คนที่จะไปช่วยสูดควันไปทีเดียวก็เป็นลมแล้วครับ 🙁

จากจุดที่ผมยืนอยู่ข้างบนใกล้ๆปล่อง Bromo พอมองลงมาข้างล่างวิวสวยมากกก แต่ผมอยู่ได้ไม่นานครับ เพราะลืมเอาผ้าปิดปากมา เหม็นมากๆ บวกกับเป็นคนกลัวความสูงเลยรีบเดินลง กลัวจนเหงื่อออกเต็มมือจริงๆครับ

DSCF2122-20

DSCF2125-21

DSCF2143-22

DSCF2156-23

จาก Bromo เราก็ไปต่อที่ทุ่งหญ้าสะวันน่า วันที่เราไปมีคนมาถ่าย pre-wedding ที่นี่ด้วยนะค้าบ ที่นี่สวยจริงๆ ตอนแรกผมก็คิดว่าไม่น่ามีอะไร แต่ต้องไปเองแล้วจะรู้ว่าทำไมเค้าถึงมาถ่าย pre-wedding กันที่นี่

DSCF2198-24

DSCF2218-25

หลังจากนั้นก็นั่งรถ Jeep คันเดิมนี่แหล่ะครับ ไปที่ Whispering Sand ซึ่งเป็นทะเลทรายสีดำ ขอบอกว่าสวยมากๆ ภูเขารอบๆมีหมอกมาปกคลุม อากาศก็ดีมากๆด้วย ผมใช้เวลาอยู่ตรงนี้สักพักใหญ่ๆ สูดอากาศดีๆก่อนที่จะกลับไปทานข้าวเช้าที่โรงแรม

DSCF2226-26

หลังจาก check-out เราก็เดินทางไปโรงแรมที่เราจองไว้ใกล้ๆกับสนามบินที่ Surabaya ระหว่างทางก็แวะนุ่นแวะนี่ แวะไร่สตอเบอรี่มั่ง แวะกินไก่บ้านมั่ง ขอบอกว่าไก่บ้านที่นี้ไม่ว่าจะ ย่าง หรือ ทอดก็อร่อยทั้งคู่ พวกเราซัดกันไป 3 ตัว กับปลาอีก 2 ตัว ไม่รู้หิวมาจากไหน แต่อร่อยจริงๆครับ แวะกินไปเรื่อยจนมารู้ตัวอีกทีว่าจะถึงโรงแรมแล้วหนิหว่า 5555

DSCF2282-27

Day 6 – Time to say good bye!

วันนี้นอนตื่นสายวันแรกของทริปครับ เราไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยวันนี้เพราะว่าแถวสนามบินไม่ค่อยมีอะไร แนะนำว่าให้พักที่พักในเมืองนะครับ อาจจะได้ไปถ่ายรูปแนว cityscpae ด้วยเลยในทริปเดียว ฟินไปกว่าเดิมอีก ส่วนพวกผมวันสุดท้ายขอชิวๆ ตื่นสายๆมากินข้าวแล้วก็ไปสนามบินเลยครับ

DSCF2352-28

สุดท้ายนี้ใครอยากไปเที่ยว อินโดนีเซีย แค่มีงบหลักหมื่นต้นๆก็ไปได้แล้ว หาตั๋วถูกๆโดยการจองล่วงหน้า ที่พักไม่แพงมาก ยกเว้นค่ารถที่เราเช่าพร้อมกับคนขับ จะแพงหรือไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อราคาทางอีเมล พยายามเขียนแผนที่เราจะไปให้ละเอียด รวมทั้งระบุค่าใช้จ่ายที่ควรจะรวมอยู่ในทริปให้ชัดเจน ส่วนคนที่ชอบถ่ายภาพ อย่าลืมพกขาตั้งกล้องไปถ่ายดาวนะครับ ดาวสวยมาก แต่ว่าแนะนำให้เช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางก็จะดี เพราะถ้าฝนตกขึ้นมาอาจจะไม่สนุกเอาได้


About the Author

Yong SN

A dental student, story teller, a day dreamer who love traveling

 

Magazine made for you.