นั่งรถไฟไป farm stay แช่ออนเซ็นพักบ้านชาวนา พาเที่ยวรอบ ‘โออิตะ’
ผืนป่า ทุ่งหญ้า ทิวเขา ความเขียวขจีสองข้างหน้าต่างรถไฟผ่านตาเราไปกิโลแล้วกิโลเล่าระหว่างกำลังเดินทางสู่ยุฟุอิน เมืองชนบทเล็กๆ จุดหมายแรกของการเที่ยวจังหวัด ‘โออิตะ’ ดินแดนฝั่งตะวันออกของเกาะคิวชู ที่แรกเริ่มเราถูกดึงดูดมาด้วยขบวนรถไฟสายเล็กๆ ที่ชื่อยุฟุอิน โนะ โมริ (Yufuin no Mori) แบบไม่มีความรู้อื่นใดเกี่ยวกับจังหวัดนี้เลย จนเมื่อได้มาถึงที่นี่จริงๆ จึงได้พบกับเรื่องราวน่าสนใจมากมายที่ทำให้โออิตะเหนือความคาดหมาย และไม่เหมือนที่ไหนๆ ในญี่ปุ่น
ว่ากันว่าชื่อของ โออิตะ (大分) สืบต่อมาจากชื่อโบราณที่มีความหมายว่า ‘ดินแดนแห่งท้องทุ่งกว้าง’ แต่ถึงใครมาพบเห็นโออิตะในวันนี้ ก็คงต้องตั้งชื่อเดียวกันนี้ให้อยู่ดี เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เป็นท้องทุ่งพื้นที่การเกษตรและป่าเขา
ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่รู้สึกสดชื่นกับภูมิประเทศของโออิตะ คนญี่ปุ่นบนรถไฟเองก็ดูจะเพลิดเพลินกับบรรยากาศไม่น้อยไปกว่ากัน โออิตะเป็นจังหวัดที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนมากที่สุดแห่งหนึ่ง ในขณะที่คนต่างชาติมักจะเลือกไปเที่ยวสถานที่ยอดนิยมตามเมืองชื่อดัง ชาวญี่ปุ่นมักจะหลบความวุ่นวายของเมืองใหญ่ เปลี่ยนบรรยากาศมาใช้เวลากับธรรมชาติแช่ออนเซ็นผ่อนคลาย
ญี่ปุ่นมีแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่เกือบหมื่นแห่ง กว่าครึ่ง หรือ 4,788 แห่งอยู่ในโออิตะจังหวัดเดียว ทำให้โออิตะเป็นจังหวัดที่มีแหล่งน้ำพุร้อนจำนวนมากที่สุดในญี่ปุ่นและเชื่อกันว่ามากที่สุดในโลก เพียงแค่รถไฟวิ่งเข้าเขตเมืองยุฟุอิน เราก็เริ่มเห็นกลุ่มควันสีขาวมากมายพวยพุ่งขึ้นมาจากบ้านเรือนในหุบเขาสีเขียวที่มีภูเขายูฟุดาเคะตระหง่านเป็นฉากหลัง
ยุฟุอิน (湯布院) เป็นหมู่บ้านชาวนาที่ประสบความสำเร็จในการนำวิถีชุมชนและทรัพยากรท้องถิ่นมาต่อยอดจนกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีผู้เดินทางมาเยือนปีละหลายล้านคน ด้วยบรรยากาศของหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา กับถนนคนเดินที่เรียงรายไปด้วยร้านขนมอร่อยๆ ตกแต่งน่ารักๆ ตลอดสองฝั่งถนน แต่บางคนอาจเดินได้ไม่สุดเพราะพ่ายแพ้ต่อแรงดึงดูดขนมหรือไม่ก็ถ่ายรูปกันจนเหนื่อย จนต้องกลับไปนอนแช่ออนเซ็นที่ห้องพักให้สบายตัว
ที่ยุฟุอิน นอกจากในน้ำมีปลาในนามีข้าวแล้ว ชาวนายังมีบ่อน้ำพุร้อนเป็นของตัวเองกันอีกด้วย! อะไรจะสวรรค์บนดินขนาดนี้ ใครมาเที่ยวที่นี่ไม่ว่าจะพักที่เล็กหรือที่ใหญ่ก็รับรองว่าได้แช่ออนเซ็นแน่นอน
‘ยุคิ’ ม้าขาวใจดีตัวโต พระเอกของยุฟุอินกำลังรอพานักท่องเที่ยวไปนั่งรถชมเมือง แต่อาจจะต้องรอคิวกันนานนิดนึงเพราะใครๆ ก็อยากมานั่งรถม้ายุฟุอิน
การเริ่มต้นทริปเที่ยวโออิตะที่เมืองยุฟุอิน ทำให้เริ่มรู้จักจังหวัดโออิตะดีขึ้นก่อนจะเดินทางไปรู้จักเมืองอื่นๆ เพราะยุฟุอินถือเป็นเมืองสำคัญในโครงการ OVOP (One Village One Product) หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์ ที่จังหวัดโออิตะได้ริเริ่มแนวคิดไว้จนประสบความสำเร็จตั้งแต่ปี 1979 ก่อนที่บ้านเราจะนำมาศึกษาแล้วปรับใช้เป็น OTOP ซึ่งความพิเศษที่ทำให้เมืองยุฟุอินต่างจากเมืองอื่นๆ คือ ‘ของดี’ ประจำเมืองยุฟุอินไม่ใช่สินค้าหรืออาหาร แต่คือ ‘ตัวเมือง’ เอง ที่พลิกเอาไอดินกลิ่นนา อาหารถิ่น และวิถีชาวบ้านมาเป็นจุดเด่นเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวได้อย่างยอดเยี่ยม จนส่งอิทธิพลให้ประเทศอื่นๆ ต้องส่งคนมาดูงาน เพื่อศึกษาและเดินตามรอย ปลุกกระแสการท่องเที่ยวชุมชนขึ้นมาบ้าง
ควันขาวจากบ่อน้ำร้อนตามเรามาถึงเมืองต่อไป ที่ซึ่งพวยควันมากมายกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วเมืองเบปปุ (別府市) ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเมืองบ่อพุน้ำร้อนแห่งนี้ถึงถูกขนานนามว่า ‘นรก’ มาแต่โบราณ นึกภาพคนสมัยก่อนเดินหลงมาเจอบ่อน้ำบ่อโคลนเดือดปุดๆ ควันระอุโขมงแบบนี้ ก็คงคิดว่าตัวเองมาถึงนรกแล้วจริงๆ
มื้อแรกของเราเป็นอาหารทะเลนึ่งด้วยน้ำพุร้อนธรรมชาติ หนึ่งในเมนูชวนชิมของเบปปุที่แน่นอนว่าต้องมาพร้อมไข่ออนเซ็น แม้แต่ในร้านอาหารเราก็หนีไม่พ้นควันอันเป็นเอกลักษณ์ที่ตลบอบอวลไปทุกที่ เหมือนว่าเมืองนี้มีควันเป็นมาสค็อตคอยตามมาต้อนรับเราตลอด โดยเฉพาะที่จิโกกุ (地獄) บ่อนรกทั้ง 7 ที่ไม่ว่าใครมาเยือนเบปปุ ก็ต้องลองแวะมาชมกันซักครั้ง เพราะแต่ละบ่อนั้นมีความสวยงามพิศดารและมีตำนานความเชื่อเฉพาะตัวที่น่าสนใจ
จังหวัดโออิตะเป็นดินแดนแห่งน้ำพุร้อน พลังงานความร้อนใต้พิภพของจังหวัดโออิตะเป็นสองรองเพียงอุทยานแห่งชาติ Yellowstone ดินแดนแห่งภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลกของสหรัฐ นอกจากบ่อน้ำพุร้อนจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาอาบน้ำแร่แช่น้ำร้อนผ่อนคลายแล้ว โออิตะยังเป็นที่หนึ่งของญี่ปุ่นด้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของความร้อนใต้พิภพ และสามารถนำมาใช้ได้สูงถึง 38.6% หรือเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งจังหวัดเลยทีเดียว
ติดกับเบปปุคือเมืองโออิตะ (大分市) เมืองหลวงของจังหวัดโออิตะ ศูนย์กลางความเจริญที่จะสามารถพบเด็กไทยได้มากเป็นพิเศษ เพราะอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยริทสึเมคัง เอเซีย แปซิฟิก (APU) ที่มีน้องๆ ชาวไทยศึกษาอยู่มากเกือบ 200 คน
เมืองโออิตะให้บรรยากาศคล้ายฉากในหนังวัยรุ่นญี่ปุ่นที่เล่าถึงเมืองต่างจังหวัดริมทะเล แล้วก็บังเอิญว่าเมืองโออิตะเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์จริงๆ เพราะ Sky of Love (Koizora) หนังดังปี 2007 ที่ทำให้หลายคนได้รู้จักนักแสดงสาวอะระงะกิ ยุอิ ก็มาถ่ายทำฉากส่วนใหญ่กันที่เมืองโออิตะนี่เอง พอได้เห็นวัยรุ่นที่มาเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Umitamago ที่อยู่ระหว่างเมืองเบปปุกับโออิตะ เลยพาให้นึกถึงหนังญี่ปุ่นขึ้นมาหลายเรื่องเลยทีเดียว
เช่นเดียวกับเมืองอื่นๆ ภาพพวยควันสีขาวลอยอยู่เหนืออาคารบ้านเรือนยังมีให้เห็นเป็นปกติ ต่างที่ความหรูหรา อย่างเช่นโรงแรม JR Kyushu Hotel Blossom Oita เหนือสถานีโออิตะที่เราพักมี Rooftop Onsen กลางแจ้งบนยอดตึกแบบสามารถแช่น้ำร้อนไปพลาง ชมวิวเมืองไปพลางบรรยากาศดีมากๆ อาหารการกินที่นี่ก็มีทุกแบบ แต่ของดีประจำถิ่นที่มาแล้วไม่ควรพลาด คือเนื้อวัวบุนโกะ เราถามชาวเมืองโออิตะว่าเนื้อบุนโกะโด่งดังแค่ไหนเมื่อเทียบกับเนื้อจากที่อื่น พวกเขาตอบมาอย่างภูมิใจราวกับกำลังกล่าวคำขวัญสถาบันว่า “บุนโกะพ่อโกเบ!” เท่านี้ก็พอจะสัมผัสถึงความรักบ้านเกิดของคนโออิตะได้เป็นอย่างดี
ความร่ำรวยทรัพย์ในดิน สินในน้ำของจังหวัดโออิตะ ไม่ได้จำกัดแค่เพียงบ่อน้ำพุร้อน ตลอดการเดินทางท่องเที่ยวเมืองน้อยใหญ่ในจังหวัดโออิตะ สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปคือผลผลิตท้องถิ่นที่ถูกนำมาเชิดชูเป็นสินค้า OVOP ทั้งแบบสดๆ อย่างเช่น เห็ดชิตาเกะกับเนื้อวัวบุนโกะ หรือแบบแปรรูปให้ทันสมัย เช่น ขนมรสมะนาวคาโบสุ หรือ ส้มมิกังซึ่งเป็นของดีเมืองคิทสึกิ
สำหรับใครหลงใหลยุคซามูไร อีกเมืองน่าเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลเบปปุคือ คิทสึกิ (杵築市) เมืองที่ได้ฉายาว่า ‘เกียวโตน้อยแห่งจังหวัดโออิตะ’ เพราะเป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าที่ยังคงสถาปัตยกรรมบ้านเรือนจากยุคเอโดะไว้ในสภาพดี โดยเฉพาะบ้านซามูไรหลังใหญ่ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ราวกับยังมีคนอาศัยอยู่ ยิ่งถ้าได้เช่ากิโมโนใส่เดินไปตามท้องถนน ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นยุคโบราณจริงๆ
อีกหนึ่งเมืองเก่าที่ยังคงความขลังเอาไว้ได้ดีคือ ฮิตะ (日田市) เมืองริมแม่น้ำบรรยากาศย้อนยุคด้วยบ้านเรือนสมัยเอโดะ ฮิตะอุดมไปด้วยไม้ ตั้งแต่อดีตไม้จากเมืองฮิตะจะถูกตัดจากบนเขาแล้วล่องแม่น้ำลำเลียงลงมาแปรรูป ก่อนจะถูกจัดส่งต่อไปที่เมืองหลวงเอโดะ ทำให้เมืองนี้มีความสำคัญ ถูกยกสถานะให้เป็นเมืองชั้น ‘เทนเรียว’ หรือ ‘แดนฟ้า’ ขึ้นตรงต่อโตกุงาวะ อิเอยะสึ โชกุนผู้มีอำนาจสูงสุดของญี่ปุ่นสมัยนั้น
แน่นอนว่าการที่อิเอยะสึเข้าคุมเมืองไม้ และเข้าควบคุมเมืองทรัพยากรอื่น เช่น เหมืองเงินและเหมืองทองทั่วญี่ปุ่นโดยตรง ทำให้เขาเป็นโชกุนผู้มั่งคั่งและมีฐานอำนาจมั่นคงที่สุดในประวัติศาสตร์ จนแม้แต่คนไทยที่แค่แวะไปเที่ยวยังต้องได้ยินชื่ออยู่เสมอ
ฮิตะเป็นเมืองที่รุ่มรวยด้วยวัฒนธรรม และยังมีการสืบสานประเพณีดั้งเดิมเอาไว้ เช่น ประเพณีอุคะอิ (鵜飼) หรือการจับปลาอะยุด้วยนกกาน้ำในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นวิธีจับปลาโบราณที่ตกทอดกันมากว่า 1,300 ปีซึ่งหาดูได้ยากในปัจจุบัน ทิวทัศน์ริมแม่น้ำของเมืองฮิตะจึงทำให้เราสามารถจินตนาการภาพย้อนไปได้ไกล ยิ่งได้ขึ้นเรือไปทานอาหารถิ่นที่ทำจากปลาและวัตถุดิบในท้องที่กันกลางแม่น้ำมิคุมะ ยิ่งทำให้อินกับบรรยากาศเข้าไปอีก
เรือก็นั่งแล้ว รถไฟก็นั่งแล้ว แต่โออิตะไม่ได้มีแค่นั้น เพราะที่นี่มีทัวร์ทางอากาศให้บริการพาชมความสวยงามของทิวทัศน์อีกด้วยด้วย ภูมิประเทศเบื้องล่างล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่การเกษตร หลังจากได้แวะเวียนไปมาหลายเมือง ได้ลองใช้ลองชิมผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นต่างๆ ของโออิตะ เรายิ่งรู้สึกทึ่งกับการบริหารจัดการแนวคิดที่ทำให้ของธรรมดาๆ อย่างสินค้าการเกษตร กลายมาเป็นพระเอกของจังหวัดที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจแถมดึงดูดการท่องเที่ยวในเวลาเดียวกัน
ความเข้าใจเรื่องความรักถิ่นฐานบ้านเกิดของคนโออิตะยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อเราได้มาพัก farm stay บ้านชาวนาจริงๆ ที่หมู่บ้านอะจิมุ ในอำเภอ อุสะ (宇佐) ซึ่งถือเป็นการได้ทำความรู้จักประเทศญี่ปุ่นในแบบที่ใกล้ชิดส่วนตัวมากๆ
เมื่อมาถึงคุณป้าเตรียมอาหารชุดใหญ่ไว้ต้อนรับ แต่ละจานใช้พืชผลท้องถิ่นซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากสวนของคุณลุงคุณป้าเองทั้งนั้น ห้องหับก็เตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ มีทั้งฟุตงนุ่มนอนสบาย กับโต๊ะอุ่นโคทัตสึที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบครอบครัวมากๆ เรียบง่ายแต่สบายเป็นที่สุด
หลังจากพูดคุยกันเราก็ทราบว่าคุณลุงเรียนจบมหาวิทยาลัยด้านการเกษตรโดยตรง แล้วก็เข้าไปทำงานที่สภาเกษตรกรจังหวัด ทำงานเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมมาตลอดทั้งชีวิต นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษาด้านเกษตรและสิ่งแวดล้อมให้กับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหม่ แถมยังเปิดบ้านเป็น farm stay ให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ชนบทแท้ๆ ของโออิตะอีกด้วย
คุณลุงคุณป้าตื่นกันตั้งแต่ไก่ (ที่เลี้ยงไว้) โห่ คุณป้าเตรียมอาหารเช้า ส่วนคุณลุงก็พาเหล่าอาคันตุกะลงไปเก็บผักในแปลง พร้อมกับสอนวิธีดู วิธีเลือก วิธีเก็บเกี่ยวพืชผักชนิดต่างๆ ถึงแม้จะสื่อสารกันไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ดูเหมือนคุณลุงพยายามอธิบายถึงงานที่เขาทำมาทั้งชีวิตว่ามีความละเอียดอ่อนอย่างไร พอคุณลุงเก็บผักเสร็จ คุณป้าก็เหมือนรู้คิว โผล่มารับผักเอาไปล้างที่ริมลำธารแล้วขนขึ้นบ้านเพื่อนำไปประกอบอาหารต่อ
ไม่ไกลจากหมู่บ้านอะจิมุของคุณลุงคุณป้า เป็นที่ตั้งของ Usa Jingu ศาลเจ้าเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของคนโออิตะที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปได้กว่า 1,300 ปี หรือก่อนอาณาจักรสุโขทัยของเราจะก่อตั้งถึง 5 ศตวรรษ ศาลเจ้าอุสะมีสถานะเป็น Jingu หรือถ้าเทียบกับบ้านเราคงเรียกได้ว่าเป็นวัดหลวง ที่ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิต้องเสด็จมาประกอบพระราชพิธีด้วยพระองค์เอง ความสวยงามอลังการของที่นี่จึงแตกต่างจากศาลเจ้าทั่วไปมาก แค่ก้าวเท้าเข้ามาภายในบริเวณวัดก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศของความศักดิ์สิทธิ์
ขึ้นชื่อว่าดินแดนแห่งท้องทุ่งกว้าง ก็แน่นอนว่าขนาดของสวนสัตว์ที่จังหวัดโออิตะย่อมไม่กะทัดรัดเหมือนทั่วไป African Safari ในเขตอำเภออุสะเป็นหนึ่งในสวนสัตว์เปิดแบบซาฟารีที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่ผู้เข้าชมสามารถขับรถส่วนตัวเข้ามาเอง หรือนั่งรถซาฟารีพิเศษที่จะสามารถให้อาหารเหล่าสัตว์ป่าได้อย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวเด็กๆ เลยตื่นเต้นกับที่นี่กันเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับรถซาฟารีแต่ละคันที่มีหน้าตาเป็นสารพัดสิงห์สาราสัตว์ไม่ซ้ำกันเลย
นอกจากเหล่าสัตว์ใหญ่แล้วที่ African Safari ยังมีบ้านสัตว์เล็ก Cat Café ให้เข้าไปนั่งพักจิบชาทานขนมหรือขึ้นไปเล่นกับเหล่าแมวน่ารักๆ ส่วนด้านนอกมีม้าแคระขนสวยให้เด็กๆ ได้ลองขี่เล่นกัน ใครพาลูกพาหลานมาเที่ยวด้วย ร้อยทั้งร้อยต้องกรี๊ดขอเล่นด้วยทุกคน
ระหว่างทางกลับเราได้แวะไปชม Kokonoe ‘Yume’ Grand Suspension Bridge สะพานแขวนแห่งความฝันที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อปลุกฝันให้เมืองโคโคโนเอะ (九重町) ที่ในอดีตเคยเงียบเหงาด้วยจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้กลับขึ้นมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เชื่อกันว่าใครข้ามสะพานนี้สำเร็จแล้วขอพร ความฝันก็จะเป็นจริง ทิวทัศน์จากสะพานความยาว 390 เมตรแห่งนี้ยังสามารถมองเห็นน้ำตกชินโดโนะ (震動の滝) ที่มีชื่อเสียงติดอันดับ 100 น้ำตกที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย
เงินสามารถเสกความฟู่ฟ่าได้ แต่บรรยากาศชนบทที่สุขสงบแบบนี้ใช้เงินสร้างไม่ได้ ผลผลิตที่สร้างขึ้นมาด้วยมือ มีเงินแต่ไม่มีใจก็สร้างไม่ได้ เสน่ห์เฉพาะตัวเหล่านี้ทำให้จังหวัดโออิตะไม่เหมือนที่ไหน และน่าประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึง ญี่ปุ่นยังมีอีกมุมที่น่าสนใจ แถมใช้เวลาเดินทางจากไทยใกล้กว่าที่อื่นๆ เสียอีก
ขอขอบคุณจังหวัด Oita Tourism และ World Surprise Travel สำหรับทริปเปิดโลกที่พาเราไปรู้จักกับจังหวัดโออิตะในครั้งนี้
World Surprise Travel ผู้บุกเบิกและผู้นำเส้นทางต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก ได้ทำโปรแกรมต้นแบบสำหรับผู้สนใจเดินทางท่องเที่ยวสู่จังหวัดโออิตะ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.worldsurprise.com/oita-kyushu-family-small-private-group/
สนใจเดินทางเที่ยวเองหรือเดินทางเป็นหมู่คณะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร : 02-634-8877
Website : www.worldsurprise.com
Instagram : www.instagram.com/worldsurprisetravel
Line : @worldsurprise