EVEREST BASE CAMP เดินเท้าสู่อ้อมกอดหิมาลัย
เนปาล เป็นประเทศที่ฉันหลงรักเป็นอันดับต้นๆ เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับประเทศนี้ จึงกระทบใจฉันไม่น้อย แม้วันนี้ เนปาลกำลังบอบช้ำอย่างหนัก และ รอการฟื้นฟู แต่สำหรับฉันแล้ว ไม่ว่าจะไปเยือนกี่ครั้ง ภาพประทับใจที่มีต่อเนปาล ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
เมื่อหนึ่งปีก่อน ฉันกับเพื่อนลงเครื่องบินลำเล็ก ที่สนามบินเทนซิง-ฮิลลารี (Tenzing-Hillary Airport) ในเมืองลุกลา (Lukla) ประเทศเนปาล อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินเทร็คกิ้ง 13 วัน 12 คืน บนเส้นทางเอเวอร์เรสต์เบสแคมป์-โชลาพาส-ทะเลสาบโกเคียว (Everest Base Camp-Cholapass-Gokyo Lake) ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเทร็คกิ้งยอดนิยมแห่งหนึ่งของเนปาล เพราะนักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้าขึ้นไปชื่นชมความงามของเทือกเขาหิมาลัยและยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้อย่างใกล้ชิด
นี่ไม่ใช่การเดินเทร็คกิ้งครั้งแรกในเนปาลของฉันและเพื่อนๆ แต่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นยอดเขาเอเวอร์เรสต์ด้วยตาตัวเอง แถมครั้งนี้จะเป็นการเดินเท้าที่ยาวนานที่สุดของเราด้วย มันจึงน่าตื่นเต้นไม่แพ้ครั้งแรกของการเดินเทร็คกิ้งเลย อาม่าร์ ไกด์หนุ่มชาวเนปาลวัย 23 ปีที่ไม่อ่อนประสบการณ์ พาหนุ่มน้อยลูกหาบหน้าตาผ่านเกณฑ์สามคนมาแนะนำให้เรารู้จัก ประเมินจากสายตาแล้วพวกเขาไม่น่าจะอายุเกิน 18 ปี เราทุกคนยิ้มทักทายบรรดาน้องลูกหาบบอยแบนด์ พวกเขาจัดแจงมัดกระเป๋าเป้ใบโตของเราทั้งสี่คน และแบกสัมภาระของพวกเราเดินนำไปล่วงหน้าอย่างรู้งาน
“Let’s go!”
อาม่าร์เดินมาบอกหลังจากพวกเราซัดข้าวกลางวันจนอิ่มเพื่อให้มีแรงพร้อมเดิน จุดหมายแรกของเราคือเมืองพักดิง (Phakding) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองลุกลาประมาณ 3 ชั่วโมงในระยะทางเดินเท้า
และก้าวแรกสู่เอเวอร์เรสต์เบสต์แคมป์ของเราก็เริ่มจากตรงนั้น
เครื่องบินเตรียมเทคออฟที่สนามบินเทนซิง-ฮิลลารีในเมืองลุกลา หนึ่งในสนามบินที่ขึ้นชื่อว่าอันตรายที่สุดในโลก
วันแรกของการเทร็คเป็นไปอย่างสบายๆ เพราะเป็นทางลงเสียส่วนใหญ่ ข้างทางเป็นทุ่งข้าวเขียวขจี วิวรอบตัวยังเป็นหมู่บ้าน จึงยังไม่ต้องใช้แรงกายมากนัก แต่เมื่อถึงวันที่สองก็เริ่มเห็นเค้าลางแห่งความเหนื่อยล้า เพราะเริ่มมีแต่ทางขึ้น เรามีจุดหมายอยู่ที่เมืองนัมเช (Namche) เมืองที่โอบล้อมด้วยภูเขาสูง ถือเป็นเมืองใหญ่เมืองสุดท้ายที่เราจะเจอความศิวิไลซ์และหาซื้อทุกอย่างได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การเดินเขาทั้งหมด มีร้านอาหาร ร้านเบเกอรี่ ร้านอินเทอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งผับบาร์
ช่วงทางเดินในวันแรกๆ วิวรอบตัวส่วนใหญ่คือทุ่งหญ้า หมู่บ้าน และน้ำตก
นัมเชต้อนรับการมาถึงของเราด้วยหิมะโปรยปรายอย่างหนัก และดูไม่มีทีท่าจะหยุดตก ภูมิทัศน์รอบกายเริ่มเป็นสีขาวโพลน อากาศหนาวเข้าปะทะร่างกายจนฉันตัวสั่นแม้จะสวมเสื้อตัวหนาสามชั้นอยู่แล้ว ในฐานะคนเกิดเมืองร้อน ฉันเคยคิดอิจฉาคนเมืองหนาว แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวอุณหภูมิติดลบไม่ใช่เรื่องสนุกเลย
เมืองนัมเชในวันที่หิมะปกคลุม
อาม่าร์ผู้เป็นไกด์เดินมาบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะให้พวกเราพักเดินสบายๆ หนึ่งวันในเมืองนัมเชเพื่อปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับความสูง โดยขึ้นไปที่จุดชมวิวเอเวอร์เรสต์ และเดินลงมาในระดับเดิม
แต่เอาเข้าจริง เส้นทางสบายๆ ของอาม่าร์ก็คือเส้นทางโหดดีๆ นั่นเอง สำหรับเขาคงสบายๆ เพราะขึ้นมาไม่รู้กี่รอบ แต่คนพื้นที่ราบลุ่มเจ้าพระยาอย่างพวกเรากลับหอบอย่างหมดท่า เดินขึ้นสามก้าว ก็ต้องพักหนึ่งก้าว เพราะยิ่งสูงอากาศก็ยิ่งเบาบาง หายใจสุดแสนจะลำบาก วิวสวยงามเบื้องหน้าที่ปรากฏภาพภูเขาหิมะลูกมหึมาตัดกับท้องฟ้าสีสดที่ดูใกล้จนเอื้อมถึงไม่ได้ทำให้ฉันหายเหนื่อย ฉันยังเหนื่อยอยู่ดีนั่นแหละ! แต่ยังดีที่ว่าอย่างน้อยก็รู้ว่าตัวเองเหนื่อยไปเพื่ออะไร
วิวระหว่างเดินขึ้นไปบนจุดชมวิวที่เห็นยอดเขาเอเวอร์เรสต์
พอออกจากเมืองนัมเชแล้ว ฉันก็ตระหนักว่าเส้นทางวันก่อนๆ เป็นแค่ “ออเดิร์ฟ” พอเริ่มเข้าวันที่ 4-5 ของการเดินนั่นแหละคือเมนคอร์สของจริง เพราะเส้นทางมีแต่ขึ้น ขึ้น และขึ้น จุดหมายของเราที่เอเวอเรสต์เบสแคมป์ตั้งอยู่บนความสูง 5,634 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แต่ยิ่งขึ้นสูงเท่าไร ออกซิเจนก็ยิ่งเบาบาง ดังนั้นพวกเราจึงเดินได้ช้าลงเรื่อยๆ
และเมื่อยิ่งสูง วิวสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยเป็นทุ่งข้าว ป่าสน มีใบไม้สีเขียวประปราย ตอนนี้ภูมิทัศน์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล รอบกายเวิ้งว้างกว้างใหญ่ มีแต่ภูเขาล้อมรอบ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้เห็นอีกต่อไป แต่มีพุ่มไม้เล็กๆ อยู่ตามก้อนหินรายทาง อากาศหนาวแต่แดดจัดไร้เมฆ อยู่ที่นี่ไม่มีใครกลัวแดด มีแต่จะวิ่งเข้าหา เพราะมันคือความอบอุ่นทางธรรมชาติอย่างเดียวที่พอจะช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บบนเทือกเขาสูงได้ แต่มันก็ทำให้หน้าดำไหม้โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
กิจวัตรแต่ละวันของเราซ้ำไปซ้ำมา คือตื่นนอน กินข้าวเช้า เดิน กินข้าวกลางวัน เดิน กินข้าวเย็น และนอนเอาแรง ดูเหมือนเป็นงานสบายๆ แต่เรี่ยวแรงอันอ่อนล้า อาหารรสชาติชืดๆ ซ้ำไปมา และอากาศหนาวเหน็บเบาบางก็ทำให้กิจวัตรง่ายๆ พวกนี้ทำได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน
หลังจากเดินหนืดๆ อ่อนเปลี้ยแพลียแรงมาหกวัน ในที่สุดพวกเราก็ยืนอยู่บนความสูง 5,634 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ณ สถานที่ที่เรียกว่าเอเวอร์เรสต์เบสแคมป์ (Everest Base Camp) ทันทีที่เห็นจุดหมาย ฉันว่าฉันออกอาการผิดหวังนิดๆ เพราะวิวตรงนี้แสนธรรมดาเมื่อเทียบกับเส้นทางที่พวกเราเดินผ่านมา แต่ความธรรมดาก็แฝงด้วยความขลังบางอย่าง อาจเพราะมันคือจุดเริ่มต้นแห่งความหวังของผู้ที่ใฝ่ฝันจะพิชิตยอดเอเวอร์เรสต์ก็เป็นได้
เอเวอร์เรสต์เบสแคมป์ จุดเริ่มต้นสู่ยอดเขาเอเวอร์เรสต์ เหลืองๆ ที่เห็นไกลๆ นั่นคือเต้นท์
เอเวอร์เรสต์ยามพระอาทิตย์ขึ้น
ถึงแม้จะผ่านจุดหมายปลายทางหลักแห่งแรกไปแล้ว แต่เรายังต้องเดินต่ออีก 7 วัน ความโหดจึงยังไม่จบลงง่ายๆ ช่วงวันท้ายๆ ของการเดิน เราต้องเจอด่านหฤโหดสุดท้ายเพื่อข้ามไปยังทะเลสาบโกเคียว โดยผ่านทางช่องเขาโชลา ซึ่งพวกเราขอยกให้ที่นี่คือที่สุดของความโหดประจำทริป เพราะต้องเดินข้ามช่องเขาแคบๆ ชันๆ ที่เต็มไปด้วยกรวดหิน และหากเดินไม่ระวัง ก็อาจจะลื่นตกได้ทุกเมื่อ แน่นอนว่าลำพังพวกเราคงไปกันไม่รอดหากไกด์หนุ่มอาม่าร์และน้องๆ ลูกหาบบอยแบนด์สามคนไม่ได้ช่วยฉุดกระชากลากถูเราขึ้นมา จนสามารถข้ามช่องเขาสุดโหดและเดินไปสู่จุดหมายปลายทางสุดท้าย หรือทะเลสาบโกเคียวได้ในที่สุด
ช่องเขาโชลาที่เราต้องปีนข้ามไปอีกฝั่ง
ทางเดินหิมะที่ทั้งลื่นทั้งเปียก
ทะเลสาบโกเคียวเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่อยู่สูงที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก แต่ช่วงที่พวกเราไปเป็นปลายฤดูหนาว น้ำในทะเลสาบจึงยังเป็นน้ำแข็งสีขาวโพลน เหลือเพียงเศษเสี้ยวของน้ำสีฟ้าเทอควอยซ์ รอบๆ ทะเลสาบมีหิมะปกคลุมพื้นดินอยู่เต็มไปหมด เบื้องบนคือฟ้าใสไร้เมฆบดบัง ทั้งหมดลงตัวกลายเป็นภาพตรงหน้าที่ไม่ว่ากล้องถ่ายรูปตัวไหนก็คงไม่มีทางเก็บภาพได้สวยเท่าสองตาของเรา
หลังจากทะเลสาบโกเคียวแล้ว พวกเราต้องเดินกลับลงไปอีกสามวัน ผ่านเมืองนัมเชกลับไปยังเมืองลุกลา และบินกลับไปกาฎมาณฑุเพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ สภาพพวกเราตอนนั้นเหมือนผ่านสมรภูมิรบมาอย่างบอบช้ำ แต่การได้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจของตัวเองเพื่อไปเห็นความสวยงามและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติสักครั้งหนึ่งในชีวิต แค่นี้ฉันคิดว่ามันคุ้มแล้ว หิมาลัยสำหรับฉันคืออีกโลกหนึ่ง โลกที่ไม่ปรุงแต่ง โลกที่มนุษย์ตัวเล็กนิดเดียวจนแทบจะไร้ตัวตน ใครจะรู้ว่าพวกเราจะได้กลับไปอีกหรือเปล่า แต่ฉันว่าสำหรับสถานที่บางแห่ง การได้มาเห็นด้วยตาเพียงครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอให้เราจดจำไปตลอดชีวิตได้แล้ว
ว่าแต่เทร็คกิ้งครั้งหน้าเราจะไปไหนกันดีนะ…
About the Author
DokBua
Just an ordinary person with an incurable case of wanderlust.
3 Comments
-
-
DokBua
ขอบคุณมากค่ะ ^^
-
-
parichat
จัดการกับ AMS ยังไงคะ หรือว่าไม่มีอาการเลย
Comments are closed.
Kewalee
เยี่ยมเลยคะ