3 คืนที่เกาะสวรรค์ Lofoten
Day 1 | To The North
วันแรก..
5 สนามบิน
4 ไฟลท์
3 สายการบิน
กับการเดินทางทั้งหมด 27 ชม. ก่อนถึงที่หมาย คือ เมือง Svolvær หมู่เกาะ Lofoten กำหนดการคือ ออกจาก สุวรรณภูมิ 9.00 ด้วยสายการบิน Norwegian Airline เพื่อไป Oslo ก่อน (low cost ของทาง scandinavia เทียบกับ airasia บ้านเรา ประมาณนั้นแหล่ะ) เดินทางประมาณ 11 ชม ครึ่ง transit ที่ stockholm sweden 1 stop
บน flight สามารถ เล่น WiFi บนเครื่องได้ด้วย เมื่อบินสูงกว่า 10,000 ft. (แต่พอถาม เขาบอก ไฟลท์นี้ไม่มีค่ะ จบ แต่ ไฟลท์ที่บินเหนือ นอรเวย์ สวีเดนนี่เล่น ได้จริงๆนะ) จอเป็นแบบ touch screen ลื่นปรื๊ดๆ เร็วกว่า tablet บางยี่ห้อ หนังก็เยอะแยะ ซีรี่ย์ การ์ตูนมีหมด มีรู usb ให้เสียบชาร์ตได้ ส่วนรูหูฟังให้ใช้ของตัวเองค่ะ ไม่มีให้ เป็นการนั่งที่รู้สึกไม่นานเท่าเวลาจริง หรือเพราะมาขึ้นตอนกลางวัน เลยทำให้ยังมี energy เหลืออยู่ หน่อย
พอกัปตัน ประกาศใกล้ถึง Stockholm วิวข้างๆ ขับผ่านทะลุเมฆ เริ่มเป็น เกาะแก่ง ทะเลแทรกตามพื้นดิน อ๊าาา ตื่นเต้น
สนามบิน Stockholm ดู minimal สไตล์ Ikea (แบรนด์ดังจากสวีเดน) มาก แต่ไม่ได้ทำอะไรมาก เพราะ มีเวลา 1 ชม. 20 นาที ให้ transit กลัวไม่ทัน พอเอาจริงๆ ตอนที่เดินๆตามออกมาก็งงว่า ตรวจ ตม. ก่อนไป transit ด้วยเหรอ ถามละเอียดมาก เพราะมีหัวดำเป็นเอเชียผิวเหลือง กันอยู่ ห้าคน ที่เหลือแบบ เป็นฝรั่งสูง 2 เมตร หน้าตาเหมือนหลุดมาจาก Game of Thrones อะไรแบบนั้น
ถึง Oslo เมืองหลวง Norway สักที ต้องไปเปลี่ยนเป็น domestic flight เพื่อไปลง Bodø ต่ออีก จากนั้นค่อยต่อเครื่องอีกที ไปลง Svolvær (บอกแล้ว วันนี้มันช่างยาวนานนนนนนนน) เพราะมันไม่มี direct flight โดยตรงจาก Oslo ไปลง Svolvær ค่ะ วิธีการไป Lofoten islands บางคน จะนั่งเครื่องไปลง Leknes แทนค่ะ ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่า มีหลายไฟลท์มากกว่า
ตอนแรก เข้าใจว่าคงนาน เพราะต้อง ตรวจ ตม. เอากระเป๋า แล้วไป check in load กระเป๋าอีกรอบ แต่สรุป เดินออกมา เจอ belt คือเอากระเป๋าเลย ตม. ไม่ต้องตงต้องตรวจเพราะผ่านที่ sweden มาแล้ว เจอเครื่องอัตโนมัติตั้งเรียงเป็นตับ เหวอไปสิ ประมาณว่า Self service นะจ๊ะ หัดช่วยตัวเองบ้างไรบ้าง จนท.มีหน้าที่โหลดกระเป๋าอย่างเดียว พวกเราทำการเชคอินด้วยตัวเองกะเครื่องแบบทุลักทุเล (ไม่เคยทำนี่หน่า) มันจะปริ้น Boarding pass กับ Tag สำหรับติดกระเป๋าออกมาให้ เราก็ต้องแกะTag ติดเองอะไรเอง แล้วเรามีหน้าที่เอากระเป๋าไปวาง bag drop ทั้งหมดนี้ 30 นาที เสร็จสิ้นกระบวนการ (งงมาก คือเมิงง่ายยยยยไปปปปมั้ยยยยยย ปรับตัวไม่ทันนนนน)
เราว่าสนามบิน Oslo เก๋กว่า มีระดับกว่า Stockholm เรียบหรูดูดีมีสไตล์ ไม่เยอะ แต่ครบ คนไม่พลุกพล่าน เงียบสงบมาก พอถึงไปถึง Gate อื้มมมม.. สว่างโร่ มองนาฬิกา เชี่ยมมม!! 20.00 ใช่เหรอออ!! (ยังไม่ชิน) จน 21.45 ก่อนขึ้นเครื่องก็ยังไม่มืด คือเราว่าจะ jet lag เพราะ สภาพดินฟ้าอากาศเนี่ยแหล่ะ
จาก Oslo ไป Bodø บินด้วย SAS Scandinavian Airline ค่ะ ตอนจอง จองเป็น Oslo ไป Svolvær มันก็จะขึ้นมาให้เลยว่า ต้องไป transit ที่ Bodø ก่อนนะ พอถึง สนามบิน Bodø ซึ่งถึง 23.15 แต่ เครื่อง ไป svolvær ออก 5.06 วันถัดไป นั่นแปลว่าต้องรอในสนามบิน Bodø ยันเช้าค่ะ นอนในสนามบินครั้งแรกในชีวิต!
ประเด็นคือ สนามบินกำลังจะปิด..
เลิกลั่กคุยกับเจ้าหน้าที่ ว่ายังงี้จะให้พวกเรารอที่ไหนเหรอ เหลือเหวอๆกันอยู่ 5 คน จนท.บอกว่าสนามบินปกติ จะปิดล็อคกลอนตอนเที่ยงคืน แล้วเปิดใหม่ตอนตีสี่! คุณสามารถนอนรอ นั่งรอในสนามบินได้ ถ้ามีเจ้าหน้าที่มาถามให้บอกไปว่ารอ transit แต่ข้อมูลนี้ได้มาหลังจากที่เพื่อนสองคน คือไนซ์กะตั๋งอยากเดินเล่นตอนห้าทุ่มเลยออกไปเดินเล่นที่ท่าเรือ พวกเราที่เหลือสามคน คิดว่าคงทำอะไรไม่ได้ เน็ตไม่มี โทรตามไม่ได้ เลยนอนรอ (ซะงั้น) พวกเราตื่นมาอีกที เจอมันสองคน ก็ถามว่าเข้ามาได้วะ!? สรุปเข้ามาได้ ด้วยการไปด้อมๆมองๆ เดินวนๆและพยายามจะเปิดงัดแงะประตูสนามบิน.. จน guard เห็นจากกล้องวงจรปิดจึงมาเปิดให้ ถามว่า “What’s going on?” (ในใจคงคิด WTF มากกว่า) เด๋อมากกกกกกกกกกกกกก เกือบได้นอนข้างนอกแล้วมั้ยละเมิงงงง!
Day 2 | Svolvær, Lofoten islands
เกือบๆ ตีสี่ ฟ้าสว่างยังกะ 8.00
เครื่องบินที่เราขึ้นไปต่อ ลำที่ 4 คือ เครื่องบินใบพัด ของ สายการบินชื่อ Wilderøe มีผู้โดยสาร นั่งไปด้วยกัน แค่ 10 คน สจ๊วต 1 (สูง2เมตรชัวร์ หัวจะโหม่งเพดานเครื่องอยู่แล้ว หน้าตาเดอะนอร์ทมากกกก )
ตอนที่จะลงจอด ที่ svolvær วิวข้างหน้าต่าง สวยที่สุดที่เคยเห็นในชิวิตมา ยังกะบินไปสวรรค์ แบบ พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น พุ่งขึ้นมาจากเมฆ ข้างล่างเป็น เกาะ และ น้ำทะเล โอ้ก๊อชชชชชชชชช ฟินนนนนนนนนนน!
ถึง Svolvær Airport … เป็นสนามบินจุ๋มจิ๋มไซส์มินิ น่ารัก คือเดินเข้า airport สิบก้าว กระเป๋าไปต้องโหลดหรอกค่ะ เข็นมาเลย แล้วเดินออกเลย
เราจองรถเช่าไว้ เป็นของ Lofoten Rental Car ( local ) มีจนท. มายืนรอรับที่เคาเตอร์อยู่แล้ว บอกก่อนว่าถ้าจองจากบริษัทใหญ่จะแพงมาก ตอนแรกถอดใจ เกือบนั่งรถเมล์เที่ยวแล้ว พอหาไปหามา ไปเจอในเวบสนามบิน Leknes ชื่อ Lofoten Rental Car เลยได้ รถเช่า ขับใน zone Lofoten 3000 NOK สำหรับ 3 วัน คิดเป็นเงินไทย หารกัน ตกคนละ 1500 บาท ก็โอเคอยู่ววววว
ปรากฎเขาแจ้งว่า รถที่เราตั้งใจเช่าตอนแรกนั้น crash มีคนเอารถไปชนจ้าาาาา ทำให้เกียร์ออโต้ที่จองไว้ ไม่มี แล้ว ยูขับ manual ได้มั้ย ถ้าไม่ได้จริงๆ เขาจะรับผิดชอบ ไปหา auto มาให้ เงิบสิครับ! ทริปนี้ได้ทำ national driving license ไว้ 3 คน ลองไป 2 คน ไม่มีใครทำสำเร็จ นี่ต้องมาขับเมืองนอก กฎเพียบ พวงมาลัยซ้าย เลนขวา โอย เรื่องเยอะ ทุกคนคิดว่าเสี่ยงไป สรุปเลยขอเขา ออโต้ พลีสสสสสส เขาเลยไปเอาในเมืองให้ แต่ต้องรอหน่อยนะ ขณะที่นั่งรอในสนามบิน svolvær จนท.เดินมา บอกว่าสนามบินจะปิดแล้ว อีกนานมั้ย กว่ารถจะมา เขาจะกลับบ้านแล้ว คือมันแบบ.. คงมีไฟลท์เดียวคือไฟลท์นี้ แล้วจบกันวันนี้ สรุปเราต้องมารอข้างนอก เลยออกไปเดินเล่นรอบๆ
สักพัก ในที่สุด รถ Opel ขนาดประมาณ CR-V ก็มาจอด ดีกว่าคันที่จองตอนแรกเยอะอะ 555 ตอนแรกจองแบบ เกียร์ออโต้เก่าๆ (ถูกสุดในเวบ) ตอนคืน จนท. แจ้งว่า เอารถไปทิ้งไว้ที่ท่าเรือ Moskenes ได้เลย แล้วเอากุญแจ สอดไว้ใต้พรมนะ ไม่เป็นไร ไม่หาย โอ้! อะเมซิ่งมาก ทำไมมันปลอดภัยขนาดนั้น ไว้ใจพวกเรามากจริงๆ
และแล้วเรามุ่งหน้าสู่ที่พัก ชื่อ Svinøya Rorbuer ซักที วันแห่งการเดินทาง 27 ชม! วันทุลักทุเลเด๋อด๋าเงิบกันไปทีสองที
หมู่เกาะ Lofoten ประกอบด้วยหลายๆเกาะ อยู่ทางเหนือ ของ Norway เป็นแหล่งจับปลา cod แล้วนำมาทำเป็น dry fish คือนำปลาไปตากแห้ง แล้วนำไปทำต่อเป็น stocking fish เราจะเห็นราวแขวนปลาตากแห้งได้เรื่อยๆ ตลอดทาง ซึ่งเป็นการ preserved food อย่างนึง สำหรับกักตุนอาหารในหน้าหนาว มานานเป็นร้อยๆปีแล้ว แพลนของเราคือหลังจากบินลง Svolvær นอนคืนแรก ส่วนคืนที่ 2 นอน Leknes คืนที่ 3 ค้าง Hamnøy ขับรถไปเที่ยวที่ Å village ที่เขาบอกว่าเป็นหมู่บ้านที่สวยที่สุดบนเกาะ Lofoten แล้วค่อยนั่ง ferry จาก moskenes กลับไปที่ Bodø
ที่พักเราชื่อ Svinøya Rorbuer ค่ะ Rorbu แปลได้ประมาณว่า fisherman’s cabin คือบ้านพักชาวประมงแถวๆท่าเรือ เราจะเห็น rorbuer ที่มาทำเป็นที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวได้แทบทุกเกาะละแวกนี้ ราคาแตกต่างตามวิว และ สิ่งอำนวยความสะดวก บางที่มักจะไม่มีผ้าเช็ดตัว หรือ ผ้าปูที่นอนให้ ต้องใช้ของตัวเอง แต่ถ้าจะเช่าเขา อาจจะคิด 100 NOK ต่อผืน เงินไทยก็คูณ 5 กันไป ส่วนใหญ่จะแจ้งไว้ ตั้งแต่ก่อนจองแล้วเพราะฉะนั้นต้องอ่านดีๆ
reception ไม่ได้เปิดตลอด 24 ชม. จะเหมือนๆ hostel มีเวลาเปิดปิด ถ้าจะไปก่อนเวลาต้องแจ้งล่วงหน้า หรือถ้ามา late ก็ต้องบอก เพราะเขาจะ drop key ใน box ให้ บางที่ก็จะส่ง e mail บอกวิธีการเข้าบ้านมาให้เลย ที่นี่คิดว่าค่าครองชีพสูง คนมีงานมีการทำกันดี ไม่ค่อยระแวง เรื่องขโมยเท่าไร ขนาดรถเช่าให้ทิ้งกุญแจไว้ใต้รถเลยนะนั่น
rorbu จะมี ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำ อุปกรณ์ครัวทำอาหารครบครัน เฟอร์นิเจอร์จะหน้าตา Ikea (เหมือนจะซื้อมาจาก Ikea นั่นละ) พอมาวางลงบ้านไม้ เข้าชุดกันเสียจริง อยากด้ายยยยยยยยยบ้านนี้เลยย
ในเมืองก็เงียบๆ ค่ะ คือดูไม่ค่อยเจอมนุษย์เท่าไหร่ (ขนาดนั้นจริงๆ) คือไม่รู้ว่าเขาไปไหนกัน หรือประชากรเค้าคงน้อยมาก เลยขับออกไปวนๆ เจอ Supermarket ชื่อ Rema1000 รอดตายแล้วเรา.. สรุปซื้อของมาทำกินเองที่บ้านค่ะ
จากนั้นก็เลยขับรถออกไปวนรอบๆ กับเดินในเมือง reception แนะนำว่าให้ขับไปแถวนี้ มีหาดชื่อ Kallen แล้วก็เลยไปหน่อย เป็นเมืองท่าชื่อ Henningsvaer คนชอบไปตากอากาศกันที่นั่น เขาก็ชอบไป
บรรยากาศใน Svolvær ถือว่าเป็นความประทับใจแรกค่ะ จากที่เดินมาเหนื่อยๆ โหดๆ นี่ลืมไปเลย มองไปทางไหนมันแบบ ฟินนนนนน ภูมิประเทศสุดโหดจริงๆ
เงาภูเขาสะท้อนกับน้ำเป็นกระจกเลย คือนิ่งและใสมาก ถนนหนทางถือว่าดีค่ะ แต่จะจำกัดตวามเร็วตลอดทาง พยายามอย่าขับเกิน ซึ่งบางทีก็อดไม่ได้ สรุปขับให้ช้านี่ ขับยากค่ะ เพราะกลัวเกินตลอด ส่วนแผนที่และป้ายบอกทางชัดเจน
คือที่นี่เขาใช้ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองอยู่แล้ว เรื่องสำเนียงไม่ต้องห่วง (ห่วงตัวเองก่อนเนอะ 555) คนถือว่ามีน้ำใจมากค่ะ เพราะพวกเราดูเด๋อๆด๋าๆ เป็นเอเชีย (ที่นานๆ น่าจะโผล่มาสักที) ถามอะไรก็แนะนำเยอะอยู่เหมือนกัน เช่น reception เขาก็แนะให้เลยว่าควรไปทำอะไรบ้างวันนี้ หรืออยากไปทำกิจกรรม Outdoor ก็มีหลากหลายมาก ตั้งแต่พายคายัค จนไปถึงล่าปลาวาฬ Moby dick! ส่วนพวกเรา ที่ไม่มี license ใดๆ เลยตกลงเป็นขับรถ เที่ยวในเกาะนี้แหล่ะ
หาด Kallen, Hopen ที่ reception แนะนำ
ระหว่างทาง เราชอบวิวแถวนี้กันมาก เลยแวะจอดถ่ายรูปกันเลย
วิวบนรถ จะแวะตรงไหนก็สวยจริงๆค่ะ คือไม่รู้จะบรรยายยังไง
Henningsvær เมืองนี้ค่อยพบปะผู้คนหน่อย มีทั้งนักท่องเที่ยว(มากันเป็นคันรถ) และ คนท้องถิ่นมานั่งกินกาแฟ เม้ามอยอะไรบ้าง
ร้านคาเฟ่ในเมือง
มีแกลลอรี่ รวมภาพถ่าย Aurora แสงเหนือ เลยเข้าไปดู ได้คุยกับคนขายซึ่งน่าจะเป็นช่างภาพ บอกว่า “ช่วงนี้คงอดแล้วละพวกเธอ จริงๆ เมื่ออาทิตย์ก่อนยังเห็นอยู่นะ แต่ตอนนี้คงไม่มีแล้วละ.. เพราะฟ้ามันมืดไม่สนิทเลยสักคืน” โอ้ยย เสียดายยยย
วันที่ 2 จบมื้อเย็นด้วยร้านอิตาเลี่ยนในเมือง เพราะเดินวนๆดูแล้วไม่รู้จะกินอะไร เลยร้านนี้แล้วกัน เห็นมีแปะป้าย TripAdvisor พนักงานบอกแต่ละอย่าง very big นะยูววว
กินเสร็จก็กลับที่พัก.. วันแรกก็จบโดยสวัสดิภาพค่ะ พรุ่งนี้เป้าหมายต่อไปคือ Leknes
Day 3 | Leknes – Ballstad – Eggum (snow storm)
วันที่ 3 ของการเดินทาง บนเกาะ Lofoten
plan วันนี้คือขับลงไปเรื่อยๆ และไปพักที่ Leknes คุณน้า reception ที่ Svinøya แนะนำให้แวะหาด Gimsøy (ชายหาดอีกแล้ว) กับ Eggum (อีกึม) เป็นซากปรักหักพังสมัยสงครามโลก ก่อนเข้า Leknes หรือจะแวะ Viking museum ก็ได้
Gimsøy กับวันนี้ที่อุณหภูมิ 3 องศา หนาวหูชา ให้ลงเล่นน้ำคงไม่ไหวจริงๆ ถ้าเที่ยวทะเล ที่ภาคใต้บ้านเรายังไงก็สวยกว่าค่ะ แต่แบบนี้ก็ได้อีกอารมณ์ ออกแนวหนังรักคาร์คๆ หน่อย พระเอกมายืนคิดถึงนางเอกที่จากไปอะไรยังงั้น
ตอนที่อยู่ Lofoten ก็คิดนะ ว่าประเทศนี้มีคนมั้ย.. หรือนี่ถือว่าบ้านนอกของเขา ..ไปแต่ละที่ ร้านรวงก็ปิด เซเว่นข้างทางก็ไม่มี ขนมหรือเสบียงก็ตุนไว้ตั้งแต่แวะ Rema1000 เมื่อวาน (ไม่งั้นแย่แน่)
จากGimsøy เราไปแวะ Eggum (อ่านว่า อีกึม) เห็นว่าชื่อดูเท่ดี เลยไปดู เราเอารถไปจอดด้านหน้า.. มีรั้วกั้น กับ ป้ายภาษาท้องถิ่น และ Box เหมือนไว้ให้หยอดเหรียญ ไร้ซึ่งวี่แววมนุษย์.. ไม่มีคนเก็บตั๋ว ไม่มีจนท. คือไม่รู้จะถามใคร ลังเล กันอยู่ว่าจะหยอดดีไม่หยอดดี ตาเหลือบไปเห็นบอกว่า มีกล้องนะเมิงงง อย่าโกงงงงง.. เลย เออ หยอดไปก็ได้วะ.. ค่าเข้า
เป็น location งงๆ ที่ไม่แน่ใจว่าเป็นสถานที่ tourist attraction มั้ย เหมือนอยู่ดีๆ เอาบ้านเลโก้แดงๆ มาตั้งเรียงๆริมชายฝั่ง เดินไปจนสุดมีป้อมปราการตั้งอยู่อันนึง ป้ายอธิบายสถานที่อะไรก็ไม่มี นี่ก็มโนกันเอาเองค่ะ ว่าเออ นี่มันซากอาวุธ แล้วก็ที่ทิ้งบอมบ์นะ ทหารคงเคยคุมอยู่ที่นี่ ข้าศึกมาทางทะเล บลา บลา บลา ..
เมื่อเช้าพึ่งพูดกันว่า โชคดีจัง เรามาเนี่ยอากาศดีเนอะ ฝนไม่ตก แดดออก คือดีงามมมมมมมมม สักพักไนซ์ชี้
“เมิงงง ๆ นั่นอะไรวะ!!”
มองไปทางทะเล เหมือนเป็นคลื่น (เฮ้ยยย ซีนามิ?) ไม่ใช่ เหมือนเมฆยักษ์พัดพายุเข้าฝั่ง.. ค่อยๆคืบคลาน (จริงๆ ไม่ค่อยอะ มันมาอย่างเร็วววววว) กว่าจะรู้ตัวกัน เริ่มมีละอองหิมะ ตกลงมา วิ่งกันหน้าตั้งเลยจ้า! โห จำไม่ลืม การวิ่งฝ่าพายุหิมะ let it go กันสุดๆ (frozen พึ่งออกโรง)
พวกเราวิ่งกลับไปที่รถ.. ตัวเปรอะหิมะเละเทะไปหมด ตั้งสติกันสักพักว่าเอาไงดีวะ หิมะก็โถมๆๆ คือไม่สวยเหมือนในหนังเลยอ๊าาาา นี่มันเริ่มจะหายนะละล่ะะะะ ประมาณ 10 นาที มีคนบอกว่า รีบๆ ขับๆออกไปเหอะ ไม่งั้นสงสัยติดอยู่ในนี้แน่เมิงงงงง เลยออกรถกันไปอย่างช้าๆ.. เพราะยิ้มมี limit speed อีก คือมากสุด 80.. โอ้ย เวลานี้มันใช่มั้ยยย!
พอพ้นมาสักพัก หิมะก็เริ่มตกเบาลง จนถึง Leknes แดดออกเปรี้ยง ว่าจะเข้าไปเช็คอินก่อน ที่พักชื่อ Villa Ballstad ไม่แน่ใจว่าที่พักอยู่ไหน เห็นป้าย Tourist Information เลยลองจอดแวะดู สรุปปิด! (คือตั้งแต่มา มีอะไรเปิดมั่ง..) ก็งงๆสักพัก เลยไปถามคนในปั๊ม เขาบอก “Nooooo” Ballstad ต้องขับไปอีก.. พึ่งอ๋อออ คือชื่ออีกเมืองเหรอ.. อ้าว อ้าว อ้าววว เสร่ออีกแล้ววพวกตู 555 บอกทางมาแบบ “You turn left, find round then right then straight then find school…..” บลา บลา บลา ตอนนั้น blank ไปละ
เลยตกลงกันว่า กินมื้อเที่ยงที่นี่ไปเลยแล้วกัน พอเริ่มเดินหาร้านจะกิน.. อื้มมม cafe ปิด ร้านนั้นก็ปิด.. ร้านนี้ อื้มม.. ปิด (นี่มันวันสำคัญแห่งชาติอะไรของเมิงรึเปล่า.. ทำไมปิดหมดเลยวะ) ตอนนั้นโอเค อะไรเปิด ก็กินๆไปเถอะ เลยไปเจอร้านพิซซ่า (อีกแล้ว) เจ้าของร้านเป็นชาวอัฟกัน แต่งกับสามี Norwegian คุยเก่ง ใจดีมาก สำเนียงแขกนะ แต่ฟังง๊าย ง่าย เขาบอกร้านข้างๆเอาของเอเชียมาขายด้วยนะ สนใจเดี๋ยวเปิดให้ดู
ตอนกินเลยนึกได้ เลยถามป้าเจ้าของร้านอีกรอบ แกก็ให้ WiFi password มาเลยจ้า กรี๊ดดดดดด! ติดต่อโลกภายนอกได้แล้ว เลยเสิร์ช GPS หา Villa Ballstad แล้ว โก โก โก!
ประมาณ 15 นาที ก็ถึง Ballstad ค่ะ เป็นย่านที่อยู่อาศัย อารมณ์หมู่บ้านอะไรแบบนั้น สักพัก เห็นป้าย ‘Villa ballstad’ นั่นไง! ที่พักเรา! สรุปบ้านล็อคค่ะ หน้าห้อง reception ก็ปิด แต่เหมือนได้ยินเสียงคนข้างใน ลองเคาะประตูดู แต่ไม่มีคนเปิดค่ะ ตัดสินใจลองไปเดินหาคน แถวนั้นสักพัก เห็นบ้านข้างๆมีพี่คนนึงยืนตัดไม้อยู่ (ล่ำมาก) เลยเข้าไปถามๆ ว่าใช่ที่พักอันนี้รึเปล่า มันปิดเหมือนไม่มีคนอยู่ ทำไงดีคะ.. แกก็ใจดีมาก บอกรอแปบนะ แล้วเข้าไปเอาโทรศัพท์มาให้ยืมโทรเฉย! (เมียอุ้มลูกออกมาดูด้วย) เฮ้อ.. ในที่สุด Villa Ballstad
Villa Ballstad เพื่อนจองผ่าน Agoda ค่ะ คือดู Review มาแล้วเห็นว่าดีงาม ซึ่งสมคำร่ำลือจริงๆ ถ้าใครมีโอกาส แนะนำให้มาลองพักที่นี่ดูค่ะ เป็นเหมือน hostel เลย ห้องน้ำรวม แต่ในตัวบ้านคือเหมือนบ้านจริงๆเลยค่ะ ส่วนกลาง ห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว อุปกรณ์ครบ วิวหลังบ้านเป็นภูเขา ยอดโปรยด้วยหิมะ .. ด้านล่างเป็นน้ำทะเล มีต้นสน สลับบ้านพัก โอ้ยยย เลิศศศมากค่ะ เอาไปเลย 10 10 10!!
วันที่เราไปมีคนพักอยู่ก่อนประมาณ 7-8 คน ส่วนใหญ่เป็นฝรั่ง มา take course scuba diving ค่ะ คือมีจัดสอบมีอะไรจริงจังเลย ที่นี่เขาเรียนเป็นอาทิตย์ค่ะ ค่าใช้จ่ายสูงอยู่
ตกเย็นเขาก็มานั่งแชร์โต๊ะ จัดอาหารเย็น dinner กันใต้แสงเทียน.. ดูดีมากกกก ส่วนพวกเราอยู่ในครัว กินพิซซ่าที่เหลือจากกลางวัน (อนาถถถ) มีฝรั่งคนนึงเข้ามาคุยด้วย เป็นเยอรมัน แกเป็นตากล้อง สักพักเอารูปที่ถ่ายใต้น้ำมาอวดค่ะ เป็นพวก ปลา และ Sea anemone โห! เห็นสีน้ำหม่นๆแบบนี้ แต่ใต้ทะเลลึกนี่สวยมากค่ะ คือสวยมากแบบ สวยจริงๆ แกใช้ macro แล้วก็เขียนเวบแกมาให้ บอกเป็นช่างภาพ จะเอาไปทำ photobook เสียดาย ทำเวบแกหายไปแล้ว(จะปีนึงแล้วค่ะ ไม่รู้เก็บไว้ไหน) สรุป ใครที่มี license ก็สามารถไปดำได้เหมือนกันค่ะ พวกเราเราแค่ snorkel งูๆปลาๆก็อดไปนะจ๊ะ
ส่วนพวกเราออกไปเดินเล่นแทน จริงๆเหมือนเขาจะเน้นกิจกรรม outdoor กัน มีเพื่อนสองคนว้อนมาก เลยเช่าจักรยานไปขับรอบๆ สักพักเข็นกลับมากันสองคน ก็งง สรุปทำจักรยานเสือภูเขาเขาพังจ้า!! คือนางทำล้ม แล้วล้อเบี้ยวเลย เจ็บตัวไม่เท่าไหร่ เจ็บใจมากกว่า เสียค่าเสียหายไป 500 NOK
Day 4 | Hamnøy – Reine – Å village
วันถัดมา จาก Ballstad เราแพลนขับลงไปต่อถึง Hamnøy, Reine และ สุดที่ Å village ค่ะ Hamnøy เป็นเขตเล็กๆติดกับ Reine ค่ะ ซึ่งจริงๆตอนแรกตั้งใจจะพักกันที่ Reine Rorbuer (ถ้าเปิด Rank ใน TripAdvisor จะเป็น อันดับ 1 ของแถบนั้น ) แต่ค่าที่พักแพงมากค่ะ เลยคิดหนัก เพราะค่าใช้จ่ายกลัวจะบานปลายมากกว่านี้ .. พอดีเจอที่พักชื่อ Eliassen Rorbuer เป็น Rank 2 เลยลองเข้าไปดู สรุปค่าที่พักถูกกว่าครึ่งๆเลยจองที่นี่แทน
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือที่นี่ที่พักเยอะมากค่ะ ขับผ่านแต่ละเมือง แต่ละเกาะแก่งจะเห็นบ้านแดงๆ เรียงกันเยอะมาก วิวก็คล้ายๆกัน ถ้าเลือกจากใน TripAdvisor, Agoda ราคาถูกแพงคิดว่าขึ้นกับความ popular มากกว่า บริการหรือข้อตกลงในการเข้าพักคล้ายกันหมดด้วย เอาที่ชอบและสะดวกก็ได้ค่ะ แล้วค่อยขับรถชมเมืองรอบๆเอา
บรรยากาศ Hamnøy และ วิวจากที่พัก Elisassen Rorbuer
เราตัดสินใจขับไปจนสุดเกาะก่อนคือ Å Village แล้วค่อยกลับมา check-in ที่ Hamnøy
Å village ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านสวยที่สุดบนเกาะ Lofoten เลยทีเดียว ถนนสายหลักจะไปสุดที่หมู่บ้านนี้ค่ะ จริงๆ ตัวหมู่บ้านดูเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวสุดแล้ว มีท่ารถ มี tourist information พอจอดรถลงไป ก็ค้นพบว่าไม่มีนักท่องเที่ยวหรือชาวบ้านอะไรอยู่เลยค่ะ.. เป็นคนเอเชียหัวดำกันห้าคน มาเดินมึนๆ อยู่ในหมู่บ้าน 5555 เอาจริงๆ นี่ประเทศนี้มีคนอยู่รึเปล่าเนี่ย แถมร้านรวงก็ปิดหมด คือเราก็ไม่ทราบจริงๆว่า มันเป็นช่วงหยุดหรือว่าอะไรทำไมถึงได้ร้างขนาดนี้ หรือเป็นเพราะเรามาชนบทมาก!? (แต่จริงๆ ตั้งแต่มา ก็ร้างมาตลอดนะคะ 55)
คือมีคนเคยมาประเทศนอร์เวย์บอกว่า เป็นประเทศที่คนน้อยมาก แทบไม่เจอผู้เจอคนเลย ต้องเป็นพวกรักธรรมชาติ รักความสงบสุดๆ ยังไงซะ ก็เป็น tourist attraction ก็เลยเดินเล่นในเมืองซะหน่อย อยู่กัน 5 คน ให้ความรู้สึกเหมือนในหนังพวกหนี Zombie เลย หลอนไปสิ เดินๆ ถ่ายรูปๆ จนไม่รู้จะทำอะไร แถมด้วยความเกรียนของเพื่อน ยังไงก็คงไม่มีคนเห็น เลยปีนลงไปตรงแม่น้ำเล็กๆ แถวหมู่บ้าน ไปถ่ายรูปบ้าๆบอๆ ถอดเสื้อโชว์กล้ามซะเลย ถือคติไม่มีคนเห็นจะทำอะไรก็ได้
หกโมงแล้ว สว่างโร่ยังกับเที่ยงวันค่ะ ก็ยัง งงๆ กันอยู่ พยายามปรับตัว พยายามกินข้าวตามเวลา ชอบตรงที่ครัวมีทุกอย่าง พร้อมทำกับข้าว แล้วแต่ความสามารถของผู้เข้าพักเลย สรุปมื้อสุดท้ายกินมาม่าผัดที่พกมาจากประเทศบ้านเกิด 555 เวรี่ไฮโซ
วิวจากหน้าต่างบ้านพัก
จริงๆ วันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายที่ Lofoten แล้วค่ะ เช้าตรู่พรุ่งนี้ก็ไปขึ้นเรือ ferry ตรงท่า Moskenes เพื่อนั่งกลับไป Bodø แล้วเข้าตัวเมือง Oslo ต่อ ถือว่าจบการมาเยือน Lofoten islands อย่างเป็นทางการ
ความรู้สึกเวลานั่งไล่ดูรูปถ่ายของทริปนี้ รู้สึกแบบ เฮ้ย การที่ได้มีโอกาสมาเยือนสถานที่แบบนี้ แล้วต้องเวลาพร้อม เงินพร้อม มันยากมากๆ ในสายอาชีพเรา คือคิดไม่ผิดเลยจริงๆที่ตัดสินใจขอเพื่อนมาด้วย ขอบคุณเพื่อนๆผู้ร่วมทริปมากๆ เป็นการรวมตัวที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
จนตอนนี้ สำหรับเรา ยังไม่เจอ landscape ที่ไหนสวยลงตัว เท่าเกาะ Lofoten อีกเลยนะคะ กลายเป็นทำให้ทริปวันที่เหลือ ไม่ตื่นเต้นเท่าวันแรกๆไปเลย 555 เลยขอยกให้เป็นที่สุดของทริป Scandinavia ของเราเลยค่ะ อยากจะแชร์เรื่องราวของเกาะนี้ เผื่อมีคนสนใจอยากจะไปเยือนมากขึ้นค่ะ 🙂
(แต่อีกสิบปี ถ้าได้ไป Iceland Antarctica หรือ ที่อื่นๆบนโลกมากกว่านี้ อาจจะเปลี่ยนคำตอบ ฮ่าๆ )
การเตรียมตัว
Visa
การไปแถบสแกนดิเนเวีย ใช้ visa เชงเก้นเหมือนยุโรปค่ะ สถานทูตอยู่ที่ตึก Alma link ก็ทำการจองวันที่จะเข้าไปขอวีซ่าให้เรียบร้อย ของเราขอประเทศ นอร์เวย์ เพราะว่าอยู่นอร์เวย์มากสุดค่ะ เขาบอกว่า นอร์เวย์จะเฮียบหน่อย แทบไม่มีคนมาต่อคิวขอนอร์เวย์เลย ต่อ Sweden Denmark ไรงี้เยอะมากกกกก คือต้องเตรียมเอกสารให้ครบจริงๆ ควรมี Statement ยืนยัน มีงานมีการทำชัดเจน มีรายละเอียดแต่ละวันพักที่ไหน ไปไหนบ้างทุกวัน จนกลับประเทศบ้านเกิด ใบจองที่พักทุกวันให้ครบค่ะ (มีวันนึง พวกเราเว้นไป เพราะยังไม่รู้จะทำอะไรบ้าง จนท.ถามเลย วันนี้ทำไมว่าง ไปไหน ทำอะไร ทั้งๆที่มีใบจองที่พักชัดเจน)
มีเพื่อนคนนึงในทริปจะแยกออกไปเที่ยวต่ออีก 2 อาทิตย์ แต่ดันลืมทำ รายละเอียดที่พักในแต่ละวันไปให้เขาดู เหวอไปเลยค่ะ เพราะบินมาจากภูเก็ตมาขอวีซ่า … วันนั้นต้องรีบออกไปนั่งจองที่พักเพิ่ม แล้วรีบกลับไปยื่นตอนบ่ายค่ะ เกือบอดไป !
เสื้อผ้า กระเป๋า อุปกรณ์ยังชีพ
เป็นครั้งแรกที่ใช้กระเป๋า Backpack ของที่จะเอาไปก็คิดแล้วคิดอีกค่ะ เพราะลองสะพายเองหนักมาก! ต้องรื้อจัดใหม่ อ่านวิธีจัดกันเลยทีเดียว ที่หามาอากาศประมาณ เลขตัวเดียว ไม่ถึงกับติดลบ บางวันมีฝนอีก แถมต้องพกผ้าเช็ดตัว กับ ผ้าปูที่นอนไปเผื่อ (เพราะที่พักส่วนใหญ่จะให้เช่า จะประมาณ 100 NOK)
เราขนพวกมาม่าไรงี้ไปด้วย เพราะได้ข่าวว่าค่าครองชีพสูงมาก เผื่อจะประหยัดได้บางมื้อค่ะ แลกเงินเตรียมไป เราแลกเป็น NOK (นอร์เวย์โครน) กับ SEK (สวีเดนโครน) แล้วก็บัตรเครดิต ทีนี้ควรขอเลข pin ไปด้วย เพราะบางที ไม่รับเซ็นลายเซ็นค่ะ เน้นกดรหัสเท่านั้น ไม่งั้นจะรูดไม่ได้ มีเพื่อนเหวอไป เพราะไม่ได้ขอ pin มา สรุปต้องให้ทุกคนช่วยออกเงินสดก่อน
กล้อง
กล้องค่ะ ! ขาดไม่ได้เลย
ของเรารูปประกอบใช้ Mirrorless Sony Nex5 และก็กล้องฟิล์มนะคะ อาจจะการปรับ Filter นิดหน่อย แต่เห็นในรูปนี่ ยังไงก็ไม่เท่าตาเห็นจริงๆค่ะ !
About the Author
A Girl Travel With Her Camera
‘pylynn’ ปกติทำงานเป็นแพทย์ประจำคลินิก แต่ชอบหาเวลาออกไปท่องเที่ยวกับลองทำสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ รักการถ่ายรูปพอๆกับการออกไปดูโลก รู้สึกว่าเราควรหาคุณค่าในตัวเองและมีความสุขในการใช้ชีวิตอย่างสม่ำเสมอ
11 Comments
-
-
pylynn
ขอบคุณมากนะคะ
ใช้กล้อง sony nex5 ค่ะ เป็น mirrorless ที่ยืมเพื่อนไป ^^
แล้วปรับด้วย vscocam ค่ะ
-
-
Yok
เรากำลังจะไป ปลายปีน์้ค่ะ อยากทราบว่าเบ็ดเสร็จของทริปนี้ค่าเสียหายทั้งหมดเท่าไหร่คะ???? ปล. รูปที่ถ่ายออกมา สวยทุกรูปเลยค่ะ:)
-
Pylynn
ของเรา เดินทางประมาณ 14 วัน ไป norway-sweden
ค่าใช้จ่าย ค่าตั๋ว ค่าเดินทาง ค่าที่พัก เบ็ดเสร็จประมาณ 100k ค่ะตอนเราไปแพงค่าเดินทางค่ะ ถ้าได้ตั๋วไปoslo ถูก น่าจะประหยัดไปหลายเลยค่ะ
-
-
เคที
ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่หรอคะ
-
Pueng
ช่วยแชร์งบประมาณ และค่าใช้จ่ายคร่าวๆได้มั้ยคะ น่าไปมาก คงขอสักครั้งในชีวิต แค่ดูภาพก็เพ้อแล้วคะ
-
Pylynn
ทั้งทริป ไป 14 วันค่ะ norway – sweden ประมาณ 100k ค่ะ
ค่าเดินทางไปกลับ กทม. เราถือว่าแพงค่ะ ตั๋วไปกลับ สี่หมื่นกว่าบาท ถ้าได้ตั๋วถูก ราคาจะลดไปเยอะค่ะ
ส่วนค่าเดินทางระหว่างทริป อีกประมาณ 20,000 ค่ะ นั่งเครื่องบินเยอะ
ค่าที่พัก อีกประมาณ 20,000
พอคเกตมันนี่ประมาณ 30,000 ค่า
-
-
Nap
เขียนสนุกมากค่ะ รูปสวยทุกรูปเลย ชอบมากค่ะ
ทริปนี้ไปตอนเดือนไหนหรอคะ ยังไม่เคยไป Norway เลย อยากรู้ว่าควรไปเที่ยวช่วงไหนสวยสุดคะ
ขอบคุณนะคะ 😀-
pylynn
ทริปนี้ไปตอน พค. ปีที่แล้วค่ะ จริงๆแนะนำ ไปช่วงหน้าหนาวที่เห็น aurora คือปลายปีไม่ก็ต้นปีค่ะ
หรือไม่ก็ ช่วงหน้าร้อนที่เห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนค่ะ
-
-
-
pylynn
ขอบคุณนะคะ
ของจริงสุดยอดกว่าในรูปเยอะมากค่ะ ^^
-
Comments are closed.
ิbwlng
รูปสวยมากเลยคะ อยากทราบว่าใช้กลองอะไรถ่ายรูปหรอคะ ใช้โปรแกรมอะไรแต่งภาพ ?
คือได้ฟิวแบบอบอุ่นมาก ดูรูปแล้วรู้สึกดี รู้สึกอยากไปมากเลยคะ