Tiger Leaping Gorge เส้นทางหุบเขาเสือกระโจนแห่งยูนนาน

ครั้งแรกที่ผมเห็นหุบเขาเสือกระโจนหรือ Tiger Leaping Gorge ในหนังสือ Lonely Planet โดยบังเอิญเมื่อเกือบสองปีก่อน ผมก็พูดกับตัวเองว่า

“เฮ่ย! มันมีที่แบบนี้อยู่ในจีนด้วยหรอ (วะ)?”

ภาพคนตัวเล็กๆ เดินลัดเลาะไปตามขอบเหวที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะสูงเสียดฟ้ามันช่างสร้างแรงดึงดูดอย่างประหลาด นับตั้งแต่วันนั้นผมก็ตั้งใจว่าซักวันผมจะต้องไปเห็นด้วยตาของตัวเองให้ได้

ซักวันนั้นคือเมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมานี่เอง (เม.ย. 58) เมื่อผมและแฟนได้ทั้งไปเห็นหุบเขาเสือกระโจนกับตาและเดินเทรคริมเหวมากับตัว บอกได้เลยว่าทั้งสนุกทั้งเสียว!

ปล. ผมชื่อ โบ๊ท และแฟนชื่อ ฝ้าย บทความนี้เราช่วยกันเขียนช่วยกันถ่ายรูป ส่วนใครเขียนตรงไหนจะใส่ชื่อบอกไว้นะครับ

CC_TLG-05

หุบเขาเสือกระโจน (Tiger Leaping Gorge; 虎跳峡; Hǔtiào Xiá) คือหนึ่งในหุบเขาที่มีความลึกมากที่สุดในโลกตั้งอยู่ห่างจากเมืองลี่เจียงในมณฑลยูนนานประเทศจีนไปทางทิศเหนือประมาณ 60 กิโลเมตร

หุบเขานี้มีความยาวประมาณ 15 กิโลเมตร มีแม่น้ำจินชา (金沙江; Jīnshā Jiāng) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำแยงซีตอนเหนือไหลผ่านภูเขาสองลูก ได้แก่ ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain; 玉龙雪山; Yùlóngxuě Shān) ความสูง 5,596 เมตรอยู่ทางทิศตะวันออก และภูเขาหิมะฮาปา (Haba Snow Mountain; 哈巴雪山; Hābā Xǔeshān) ความสูง 5,396 เมตรอยู่ทางทิศตะวันตก จุดที่ลึกที่สุดจากยอดเขาถึงแม่น้ำด้านล่างมีความลึกประมาณ 3,800 เมตร! และมีหน้าผาสูง 2,000 เมตรตลอดแนวภูเขาทั้งสองฝั่ง!

ว่ากันว่าในอดีตมีเสือตัวหนึ่งกระโจนข้ามแม่น้ำในส่วนที่แคบที่สุดเพื่อหลบหนีนายพราน จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ “หุบเขาเสือกระโจน”

เส้นทางการเดินชมหุบเขาเสือกระโจนมีสองเส้นทาง เส้นทางแรกคือถนนคอนกรีตเลียบแม่น้ำจินชาทางฝั่งขวา (ฝั่งภูเขาหิมะมังกรหยก) ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น แต่ทัวร์ท้องถิ่นส่วนใหญ่มักจะพามาที่นี่ ส่วนอีกเส้นทางนึงคือ Upper Trekking Route เป็นทางเดินลัดเลาะไปตามสันเขาทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ (ฝั่งภูเขาหิมะฮาปา) ซึ่งเป็นทางที่เราไปเดินกัน

Upper Trekking Route เป็นทางเดินยาว 24 กิโลเมตร จุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินคือเมืองเฉียวโถว (Qiaotou; 桥头) และสิ้นสุดที่ Tina’s Guesthouse ใช้เวลาเดินประมาณ 1-3 วัน ตามแต่ความแข็งแรงของร่างกาย และความละเมียดละมัยในการเดิน

สภาพทางเดินค่อนข้างดี เดินง่ายไม่ต้องใช้เทคนิคหรืออุปกรณ์เสริมแต่อย่างใด มีป้ายบอกทางตลอดทางไม่หลงแน่นอนและมี guesthouse ตามหมู่บ้านที่เดินผ่าน (แต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างกัน 2-3 ชั่วโมงเลยนะ) ถึงแม้ทางจะเดินง่ายแต่ต้องใช้ความระมัดระวังมากเนื่องจากทางด้านขวาของทางเดินเป็นหน้าผาลึกเกือบ 2 กิโลเมตรดิ่งลงไปถึงแม่น้ำด้านล่างแทบจะตลอดทางและที่สำคัญคือทางเดินไม่มีรั้วกั้นจ้า แถมบางช่วงทางยังแคบมากอีกต่างหาก ไม่แนะนำสำหรับคนกลัวความสูงครับ


Day 1

– 01 – ฝ้าย

ภูเขาหิมะมังกรหยกปรากฏตัวให้เห็นเกือบตลอดทางเป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงกว่า ที่เรานั่งรถมินิบัสออกจากเมืองลี่เจียงลัดเลาะผ่านภูเขาน้อยใหญ่มาจนถึงเมืองเฉียวโถวเพื่อเสียค่าธรรมเนียมราคา 65 หยวน ในการเข้าหุบเขาเสือกระโจน คาดว่ารถมินิบัสคันนี้นอกจากจะบรรทุกผู้โดยสารหลายชนชาติแล้วยังบรรทุกความฝันทุกความฝันของใครอีกหลายคน ที่แน่นอนก็คือมันบรรทุกความฝันของเรามาด้วย

บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่ายานพาหนะไม่ว่าจะเป็นรถ, เรือ, หรือเครื่องบินไม่ได้ทำหน้าที่แค่ส่งคนหรือสิ่งของให้ถึงที่ แต่ยังช่วยส่งความฝันให้ถึงฝั่งอีกด้วย

ภูเขาหิมะมังกรหยกที่ปรากฏตัวในเห็นตลอดเส้นทาง

ภูเขาหิมะมังกรหยกที่ปรากฏตัวในเห็นตลอดเส้นทาง

อย่างไรก็ตามในการเทรคครั้งนี้คงไม่มีอะไรที่จะพาเราถึงฝั่งได้ยกเว้นลำแข้งของเราเอง ฮา

ไม่นานต่อมารถก็ปล่อยเราลงข้างทางพร้อมนักเดิน(ทาง)ต่างชาติหัวทองอีกเกือบ 10 คน เราเห็นป้ายบอกอยู่ใกล้ๆ ว่าเรามาถึงจุดเริ่มต้นทางเดิน Upper Trekking Route ของหุบเขาเสือกระโจนกันแล้ว

ถนนลูกรังขนาดกว้าง 3 เลนลาดเอนขึ้นเขา สองข้างทางเป็นทุ่งนา ด้านหน้าคือภูเขาหิมะ ถนนใหญ่เลยทำให้เราฮึกเหิมว่าอีกไม่นานคงจะเดินไปถึง Half Way Guesthouse ที่หมายปลายทางของวันนี้ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 15 กิโลฯ แล้ว

ทางเดินในช่วงแรก

เดินไปประมาณ 40 นาทีแบบชิวๆ ก็จะพบทางขึ้นเขาของจริง เป็นทางแยกจากถนนหลัก จากทางลูกรังกลายเป็นทางเดินเล็กๆ แคบๆ ฝุ่นๆ มีคนจูงลามาคอยตามตื๊อให้ขี่ลาพาขึ้นเขาแต่เราก็ปฏิเสธกันไปตลอดทาง

ถ้าถามว่าเหนื่อยมั้ยก็บอกเลยว่ามากกก แต่มาเดินเทรคกันทั้งทีจะให้ขี่ลามันดูไม่ดีเอาซะเลย และอีกอย่างคือเรารู้สึกว่าสัตว์สี่ขาไม่น่าไว้ใจ ก็เราแอบเห็นลาๆ ทั้งหลายที่เดินตามมาลื่นเดินสะดุดหินกันทุกตัว

นึกไม่ออกเลยว่าถ้าขึ้นไปนั่งแล้วลาดันเดินสะดุดหินหกล้มจะเป็นยังไง เพราะสองข้างทางเดินก็ไม่ใช่หญ้านุ่มที่ตกไปไม่เจ็บ แต่เป็นเหวที่ตกลงไปก็คงไม่ต้องมาตามเก็บกันอย่างแน่นอน เห็นอย่างงี้แล้วไว้ใจสองขาของตัวเองดีกว่าสี่ขาของเจ้าลาเป็นไหนๆ

CC_TLG-03

CC_TLG-04

CC_TLG-06

เดินไปต่อซักพักเนื้อตัวก็มอมแมมจากฝุ่นที่ตลบอบอวล อากาศก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย แถมยิ่งเดินไปทางยิ่งแคบภูเขายิ่งสูง เหวยิ่งลึก คิดในใจว่านี่ตรูมาทำอะไรที่นี่เนี่ย จะกลับก็ไม่ได้ จะเดินต่อก็ก้าวไม่ออก กลัวสุดขีด!! งอแงหนักมาก มือไม้เกร็งไปหมด มือที่กำอยู่เหมือนโดเรม่อนอาบไปด้วยเหงื่อ น้ำตาคลอเบ้า ไม่เคยรู้สึกกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ก็ต้องค่อยๆ เดินเตาะแตะๆ เหมือนเด็กหัดเดิน จนในที่สุดก็ขึ้นมาถึงยอดเขาจนได้ ทางเดินเริ่มกว้างขึ้นสองข้างทางไม่เป็นเหว เดินได้ด้วยความสบายใจ แต่ช้าก่อน! ซักพักทางก็กลับมาเป็นเหวเหมือนเดิมและเป็นแบบนั้นไปเกือบตลอดทาง แง… TTwTT

ทิวทัศน์ของทางเดิน

CC_TLG-07

CC_TLG-08

CC_TLG-09

มาถึงหมู่บ้านแรกเราพักทานข้าวเที่ยงกันที่ Naxi Family Guesthouse หลังจากเดินกันมา 3 ชั่วโมง การได้หยุดช่วยเติมพลังได้พอสมควร แต่เรามีเวลาพักไม่มากเพราะกลัวจะไปไม่ถึง Half Way Guesthouse ซึ่งดูจากแผนที่แล้วยังอยู่อีกไกล

CC_TLG-10

Naxi Family Guesthouse

CC_TLG-11

ก่อนถึง 28 bends

ทานข้าวเสร็จก็เดินต่อด้วยความสบายใจเพราะคิดว่าเดินผ่านจุดที่เหนื่อยที่สุดที่เรียกว่า 28 โค้งนรก มาแล้ว ชื่อ 28 โค้งนรกมีที่มาที่ไปเนื่องจากทางเดินส่วนนี้เป็นทางเดินขึ้นข้ามเขารัวๆ ว่ากันว่ามีทั้งหมด 28 โค้ง ซึ่งทางเดินขึ้นเขาก่อนหน้านี้ก็มีหลายโค้ง เราจึงคิดว่ามันผ่านไปแล้ว…จนกระทั่งเราเจอกับป้ายที่เขียนว่า

“Gain energy to tackle the 28 bends!”

โบ๊ท “แย่ละ!”
ฝ้าย “อะไรหรอ?”
โบ๊ท “นี่เรายังไม่ได้เดินข้ามเขากันอีกหรอ… แล้วที่เดินมาเมื่อกี๊คือ?”
ฝ้าย “จุด เริ่ม ต้น…”

ในแผนที่บอกว่าจะใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงพอเจออากาศแห้งและแดดแรงตอนบ่ายทำให้เราใช้เวลาเดิน 2 ชั่วโมงถ้วน! แน่นอนว่าตลอดทางมีลามาล่อ แต่อย่าหวังเงินจากเราซะให้ยาก ก็เรากลัวลาเดินสะดุดตกเหวนี่นา

CC_TLG-12

ระว่างทางเดิน 28 bends

CC_TLG-13

จุดสูงสุดของ 28 bends

กว่าจะข้ามเขามาได้ก็เหนื่อยแทบหมดแรง แต่ก็ยังอีกไกลกว่าจะไปถึงหมู่บ้านถัดไป ในแผนที่บอกว่าเดินอีกชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเอาเข้าจริงๆ จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ถึงตอนนี้ก็คิดในใจว่าเราชอบการมาเดินเทรคแบบนี้จริงๆ รึเปล่า ระยะทางของการเดินแลดูเหมือนว่าจะไม่สิ้นสุดซักที แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เราบอกโบ๊ทว่าคงเดินไปไม่ถึง Half Way Guesthouse ที่อยู่ห่างไปอีก 2 หมู่บ้าน เราถอดใจไปแล้วเพราะความกลัวสุดขีด รู้สึกว่าไม่อยากไปต่อแล้ว แต่ก็ต้องสู้ต่อไปเพื่อไปให้ถึงหมู่บ้านถัดไป ไม่งั้นไม่มีที่นอนแน่ๆ

เงาของภูเขาช่วยบังแดดระหว่างเดิน

เงาของภูเขาช่วยบังแดดระหว่างเดิน

Tiger Leaping Stone ส่วนนึงที่แคบที่สุดของแม่น้ำจินชา เป็นจุดทัวร์ลง

Tiger Leaping Stone ส่วนนึงที่แคบที่สุดของแม่น้ำจินชา เป็นจุดทัวร์ลง

ก่อนถึง Tea Horse Guesthouse

ก่อนถึง Tea Horse Guesthouse

2 ชั่วโมงครึ่งถัดมา ในที่สุดก็เดินลากสังขารตัวเองมาจึงถึง Tea Horse Guesthouse โชคดีที่หลังจากเดินผ่าน 28 โค้งนรก ก็ไม่มีทางเดินขึ้นเขาแล้ว มีแต่ทางเดินพื้นราบธรรมดา แถมยังมีเงาจากภูเขาคอยบังแดดช่วยคลายร้อนอีกด้วย แต่ข้างทางยังเป็นเหวเหมือนเดิมนะ…

พอเราเชคอินเสร็จ เราขอทิ้งความล้าและความกลัวไว้บนเตียง ขอชาร์จพลังกันไปหนึ่งตื่น


– 02 – โบ๊ท

เมื่อมาถึง Tea Horse Guesthouse ก็ใกล้เวลาที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าพอดี ทั้งเหนื่อยและเนื้อตัวมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่น แต่ด้วยจิตวิญญาณแห่งการถ่ายภาพ เราต้องเก็บแสงเย็นวันนี้ไว้ให้ได้ ก็มันไม่ได้มากันบ่อยๆ นี่นะ

ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปถ่ายรูปอาทิตย์อัสดงจากคาเฟ่ของ Half Way Guesthouse ที่ว่ากันว่ามีวิวดีที่สุดแห่งนึง แต่ในเมื่อเดินไปไม่ถึงก็ต้องหามุมเท่าที่ทำได้ จะว่าไปที่นี่ Tea Horse ก็วิวสวยเหมือนกันนะ

หลังจากเดินหามุมอยู่พักนึงผมก็บรรจงแกะขาตั้งกล้องที่เหน็บใส่กระเป๋ามาและยังไม่ได้ใช้ตั้งแต่เริ่มเดินออกมากางอย่างช้าๆ น้ำตาแทบไหล อุตส่าห์แบกมาทั้งวันในที่สุดก็ได้ใช้ซะที

ผมเอากล้องตั้งบนขาตั้งแล้วรอให้แสงคล้อยลงอย่างช้าๆ ผมค่อยๆ กดถ่ายรูปไปเรื่อยๆ พร้อมกับดื่มด่ำกับบรรยากาศจนแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป เห็นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่แล้วเหมือนน้ำตาจะคลอเบ้า อาาา ทำไมชั้นไม่ไปนอนพักบนเตียงสบายๆ เหนื่อยชะมัด แต่น่าเสียดายที่ท้องฟ้าใสเกินไปจนไม่มีเมฆให้ตื่นตา

CC_TLG-17

ก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ยัง ยังไม่หมดแค่นั้น หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จสรรพกะว่าจะไปนอนพักตายซะหน่อย แต่พอเดินออกจาร้านอาหารของ guesthouse แล้วมองขึ้นไปบนฟ้าเท่านั้นแหละ โอ้ว แม่เจ้า ดาวเต็มฟ้าไปหมด จิตวิญญาณแห่งการถ่ายภาพก็กลับเข้ามาสิงร่างอีกครั้ง ตรูต้องออกมาถ่ายรูปดาวววววให้ด้ายยยยย เมื่อไหร่ตรูจะได้นอนนนนน TTwTT

ดวงดาวเหนือภูเขาหิมะมังกรหยก

ดวงดาวเหนือภูเขาหิมะมังกรหยก

เรื่องราวการเดินเทรควันแรกก็จบลงตรงนี้แหละ


Day 2

– 03 – โบ๊ท

นาฬิกาของเราไม่ได้ปลุกตอน 6 โมงเช้า แต่เสียงคนเดินขวักไข่วไปมาบนชั้นสองดังผ่านเพดานไม้บางๆ ปลุกให้ผมตื่น จริงๆ ก็ไม่ได้อยากตื่นซักเท่าไหร่ แต่พอมองออกไปนอกหน้าต่างเท่านั้นแหละ แสงรำไรของท้องฟ้าบอกผมว่าอีกไม่นานอาทิตย์จะต้องสาดแสงทองผ่านช่องเขาเป็นแน่แท้ แล้วตากล้องอย่างเราจะทนนอนขลุกบนเตียงไฟฟ้าอุ่นๆ ได้อย่างไร เลยต้องฝืนแกะตัวเองให้ลุกจากเตียงไปเตรียมกล้องและขาตั้งให้พร้อมเพื่อรอถ่ายรูปแสงเช้าของวันนี้

ผมหยิบรองเท้าบู๊ทเปื้อนฝุ่นที่ถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงเมื่อวานมาใส่ แต่ทำไมเท้าผมมันไม่อยากกลับเข้าไปในรองเท้าก็ไม่รู้ อาการปวดเมื่อยอย่างแสนสาหัสตามมาติดๆ หลังจากลุกขึ้นจากเตียง แต่ก็ยังพยายามลากตัวเองออกไปถ่ายรูปให้ได้

ซึ่งความพยายามในการแกะตัวเองออกมาจากเตียงนุ่มๆ ก็คุ้มค่ากับรูปถ่ายที่ได้มานะ

ถ่ายรูปเสร็จก็ได้เวลาเก็บสัมภาระ และทานอาหารเช้า แล้วก็ได้เวลาเดินต่อ

CC_TLG-20

แสงเช้า

CC_TLG-21

CC_TLG-22


– 04 – ฝ้าย

วันนี้เราสดใสมากเพราะได้ชาร์จพลังอย่างเต็มที่ ตื่นมากินข้าวเช้าเสร็จก็เริ่มออกเดินเทรคต่อตอน 8 โมงครึ่ง แสงจากดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นยอดเขาของภูเขาหิมะมังกรหยก อากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะแก่การเดินเป็นอย่างมาก

แต่เดินมาได้แป๊บเดียวดวงอาทิตย์ก็โผล่พ้นยอดเขาซะแล้ว ถึงตอนนี้จะมีแดดแต่อากาศก็ไม่ร้อน คงเป็นเพราะยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ถึงอย่างงั้นเราจึงต้องเร่งฝีเท้าให้เดินเร็วขึ้น เนื่องจากไม่อยากไปถึง Tina’s Guesthouse สาย กลัวอากาศร้อนเหมือนเมื่อวาน ก็ขนาดเมื่อวานเดินไป 8 ชั่วโมง เพิ่งจะเดินไปได้แค่ครึ่งทาง เหลืออีกตั้งครึ่งทาง วันนี้จะต้องเดินอีกนานเท่าไหร่ อีกไกลแค่ไหนก็ไม่รู้ววว…

ทางเดินช่วงแรกของวันนี้เดินค่อนข้างสบายเพราะเป็นถนนใหญ่ของหมู่บ้าน ซึ่งรถสามารถวิ่งไปมาได้ และข้างทางไม่ใช่เหว แต่พอเดินไปซักพักทางก็ค่อยๆ แคบลงๆ และเหวข้างทางก็ค่อยๆ ลึกขึ้นๆ ถนนลูกรังค่อยๆ กลายเป็นทางเดินลูกรัง สิ่งปลูกสร้างค่อยๆ หายไปกลายเป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้า ทิวทัศน์วันนี้สวยมากจริงๆ

ทางเดินหลังจากออกจาก Tea Horse Guesthouse

ทางเดินหลังจากออกจาก Tea Horse Guesthouse

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ความกลัวเมื่อวานหายไปหมดเกลี้ยง (สงสัยจะลืมไว้ที่เตียงนอนเมื่อวาน) วันนี้เราเดินคล่องปรื๋อ เดินน็อครอบคนจีนไปหลายแก๊งค์อยู่เหมือนกัน การเดินไม่ใช่ปัญหาในวันนี้อีกต่อไป จึงทำให้เราได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติเต็มๆ และมีคำตอบให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมาเมื่อวานว่า เราชอบเดินเทรคแบบนี้จริงๆ มั้ย? ก็แน่หละ คำตอบวันนี้กับเมื่อวานต่างกันราวฟ้ากับดิน เรารักการท่องเที่ยวแบบนี้ เราชอบใกล้ชิดกับธรรมชาติ วันนี้เรารู้สึกภูมิใจกับตัวเองที่สามารถพิชิตทั้งความกลัวของตัวเองและยอดเขาที่เค้าว่าสูงได้สำเร็จ แต่จริงๆ แล้วยอดเค้าที่ว่าสูงอาจจะเตี้ยกว่าความกลัวของเราก็เป็นได้

CC_TLG-24

CC_TLG-25

CC_TLG-26

CC_TLG-27

CC_TLG-28

CC_TLG-29

เดินกันมาได้ 2 ชั่วโมง ก็มาถึง Half Way Guesthouse ที่เราตั้งใจจะมาค้างกันเมื่อวาน ที่นี่มีคาเฟ่ที่วิวสวยที่สุดแห่งนึงที่เราเคยเจอ นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นที่แรกที่เราเห็นยอดของภูเขาหิมะฮาปาซึ่งอยู่ฝั่งเดียวกับทางที่เราเดินอีกด้วย

Half Way Guesthouse

Half Way Guesthouse

Half Way Guesthouse และภูเขาหิมะฮาปา

Half Way Guesthouse และภูเขาหิมะฮาปา

เราพักที่ Half Way ไม่นานก็เริ่มเดินกันต่อ

วันนี้เราหยุดถ่ายรูปกันบ่อยมาก เรียกว่าถ้าไม่ได้รูปถูกใจไม่ไปต่อ ก็มันสวยมากๆๆๆๆ ขนาดนี้ ไม่มีรูปสวยๆ ติดมือกลับไปคงเสียใจแย่ แต่ก็ต้องคุมเวลาให้ไปถึง Tina’s Guesthouse ก่อนที่พระอาทิตย์จะเริ่มแผดเผาเราเหมือนเมื่อวาน วันนี้ทางเดินค่อนข้างง่าย เพราะไม่ค่อยมีทางที่ต้องเดินขึ้น มีแต่ทางราบและทางลง แต่ยังไงทางเดินก็ยังน่ากลัวอยู่ดีแถมน่ากลัวกว่าเมื่อวานด้วยซ้ำเพราะเหวข้างๆ นั้นสูงชันกว่าเยอะ


– 05 – โบ๊ท

เดินมาได้ 3 ชั่วโมง ผมเริ่มมองเห็นหมู่บ้านถัดไปซึ่งน่าจะเป็นหมู่บ้านที่เป็นที่ตั้งของ Tina’s Guesthouse ผมเรียกฝ้ายมาแล้วชี้ที่หมายปลายทางของวันนี้ให้ดู แล้วก็พูดให้กำลังใจตัวเองกันว่า

“อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว เย่!”

30 นาทีผ่านไป… “เอ่อ… หมู่บ้านหายไปไหนแล้วนะ” ผมบอกหลังจากที่ต้องเดินลัดเลาะสันเขาจนภาพหมู่บ้านหายไปจากสายตา

1 ชั่วโมงผ่านไป… “อืม… สงสัยจะไม่ถึงง่ายๆ แฮะ” ทางเดินเริ่มกลายเป็นทางลงเขา

1 ชั่วโมง 30 นาทีผ่านไป… “เมื่อไหร่จะถึงฟะ!”

2 ชั่วโมงผ่านไปในที่สุดเราก็เดินมาถึง Tina’s Guesthouse ซะที! ความรู้สึกเหมือนวิ่งมารธอนเข้าเส้นชัย ไม่สิ 24 กิโลเมตรนี่มันเลยฮาฟมาราธอนมานิดเดียวเองนี่นา ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากที่จะได้พักซะที เหนื่อยจนแทบจะเดินต่อไม่ไหว

การเดินวันนี้ทำให้เราประหลาดใจในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ หมู่บ้านที่เห็นอยู่ไม่ไกล แต่กลับต้องใช้เวลาเดิน 2 ชั่วโมง!

บางทีเราอาจจะอยู่ในเมืองบ่อยเกินไปจนกะระยะทางไกลๆ ไม่ถูก หรือบางทีธรรมชาตินั้นอาจยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาอะไรมาเทียบก็ได้…

ทางเดินลัดเลาะลงภูเขา

ทางเดินลัดเลาะลงภูเขา

ก่อนถึง Tina’s Guesthouse

ก่อนถึง Tina’s Guesthouse

จริงๆ แล้วที่ Tina’s Guesthouse มีทางเดินเทรคไปลงไปยังแม่น้ำต่อ ซึ่งเป็นทางเทรคลงไปยังส่วนนึงที่แคบที่สุดของหุบเขาเสือกระโจน เป็นจุดที่ว่ากันว่าเสือกระโจนข้ามไปนั่นเอง ตามแผนแรกเราตั้งใจกันว่าจะเดินไปซะหน่อย แต่เราเดินมาถึง Tina’s Guesthouse สายและร่างกายพัง บวกกับต้องใช้เวลาเดิน ไป-กลับ 3 ชั่วโมง ตามเวลาที่บอกไว้ในแผนที่ที่เชื่อไม่ค่อยได้ สุดท้ายเราจึงเลือกนั่งรถกลับลี่เจียง ทำให้ต้องล้มเลิกแผนนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

สรุปแล้วพวกเราใช้เวลาเดิน 2 วัน รวมเวลาเดินทั้งหมด 13 ชั่วโมง แต่เป็นเวลาถ่ายรูป และแวะพักเหนื่อยไปซะเยอะเหมือนกัน

การเดินเทรคในครั้งนี้ทิ้งประสบการณ์ไว้ให้พวกเรามากมายไม่ว่าจะเป็นการทดสอบแรงกายแรงใจของตัวเอง การสร้างมิตรภาพดีๆ ก้บ backpacker คนอื่นๆ ที่ได้รู้จักระหว่างทาง และการอยู่ท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ

เส้นทางนี้แนะนำให้ทุกคนที่ยังมีแรง (และไม่กลัวความสูงมากจนเกินไป) ลองไปดูซักครั้ง แล้วจะหลงรักในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ


About the Author

fai-boat-profilePakaPrich

โบ๊ท และฝ้าย คือสองนักเดินทางผู้หลงรักการผจญภัยและการถ่ายภาพ ทั้งสองต้องการส่งต่อเรื่องราวและถ่ายทอดประสบการณ์การเดินทางเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นออกไปสำรวจโลกใบใหญ่ที่แสนมหัศจรรย์ใบนี้ | www.PakaPrich.com

Magazine made for you.