สโลว์ไลฟ์ ณ โปรตุเกส Porto – Óbidos – Lisbon
‘โปรตุเกส’ ชื่อประเทศที่คุ้นหูมาตั้งแต่สมัยเรียนวิชาสังคม ว่าเป็นหนึ่งในประเทศนักล่าอาณานิคมในสมัยอยุธยา แต่จริงๆ แล้วประเทศเขาเป็นอย่างไรนั้นกลับไม่ค่อยเป็นที่รู้จักซักเท่าไหร่ในหมู่คนไทย ที่โดยมากจะสนใจประเทศสเปนมากกว่า นักท่องเที่ยวที่นี่จึงประปรายไม่แออัด อีกทั้งโปรตุเกสยังถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีความสงบเป็นอันดับที่ 5 ของโลกอีกด้วย
โดยภูมิศาสตร์แล้ว โปรตุเกสตั้งอยู่บนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรไอบีเรียในทวีปยุโรป มีชายแดนติด ประเทศสเปนยาวถึง 1,214 กิโลเมตร ซึ่งนับว่าเป็นชายแดนร่วมที่ยาวที่สุดในยุโรปเลยก็ว่าได้
— Proto —
เริ่มการเดินทางกันที่เมืองโปร์ตู (Porto) เป็นเมืองใหญ่อันดับสองของโปรตุเกส ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโดรูทางตอน เหนือของประเทศ เป็นเมืองท่าที่มีชื่อเสียงและได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี ค.ศ. 1996
สำหรับคอไวน์พลาดไม่ได้กับการมาเยี่ยมเยียนหุบเขาโดรู (Douro Valley) ที่ตั้งของแหล่งผลิตพอร์ตไวน์ หรือไวน์แดงหวานที่ไว้ดื่มคู่กับอาหาร ทางตอนเหนือของประเทศ ที่สามารถเชื่อมต่อไปถึงเมืองโปร์ตูได้ทางแม่น้ำโดรู โดยชื่อของพอร์ตไวน์ (Port wine) นั้นก็ที่มาจากเมืองโปร์ตู (Porto) นั่นเอง เพราะตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เมืองโปร์ตูก็คือเมืองท่าหรือ Port ในการขายไวน์ชนิดนี้ คนจึงเรียกติดปากว่าพอร์ตไวน์มาจนถึงปัจจุบัน
การเดินทางมาที่หุบเขาโดรูสามารถมาได้โดยการเช่ารถ หรือนั่งเรือครูสเล็กบนแม่น้ำโดรูเพื่อเยี่ยมชมไร่องุ่นกับห้องเก็บไวน์ แวะชิมไวน์ แล้วเดินทางกลับด้วยรถไฟ
สำหรับวันชิลๆ ในละแวกหุบเขาโดรู Vidago Palace คืออีกหนึ่งสถานที่แห่งการผ่อนคลายอย่างแท้จริง โดย ปราสาทวิดาโก้แห่งนี้คือปราสาทเก่าที่ได้ทำการปรับปรุงเปิดใหม่ในปี 2010 เป็นอาคารสีชมพูสุดโมเดิร์น ด้านในมีบริการสปาน้ำแร่และสระว่ายน้ำให้สาวผ่อนคลาย ในขณะที่หนุ่มๆ ไปออกรอบกับสนามกอล์ฟ 18 หลุม
[su_gmap width=”1600″ address=”Vidago Palace, Portugal”]Vidago Palace[/su_gmap]
กลับมาที่ใจกลางเมืองโปร์ตู ณ ทางด้านข้างจตุรัสขนาดย่อมของ D. Henrique เป็นที่ตั้งของ Palacio da Bolsa หรือ Stock Exchange Palace อาคารสไตล์กรีกและโรมันโบราณที่ผสมผสานองค์ประกอบสมัยใหม่ลงไปด้วย เนื่องจากอาคารแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งกับโบสถ์เซนต์ฟรานซิส (Church of São Francisco) ที่ตั้งอยู่ข้างๆ แต่ถูกไฟไหม้จากสงครามเมืองใน ค.ศ. 1832 จึงได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ โดยคำว่า Stock นั้น ไม่ได้หมายถึงหุ้นที่เราอาจนึกถึงเมื่อได้ยินชื่อครั้งแรก แต่มันแปลว่าคลังสินค้า เพราะสมัยก่อนอาคารเก่าแก่แห่งนี้ถูกใช้สำหรับต่อรองราคาสินค้าอย่างเช่นพอร์ตไวน์ชื่อดังของที่นี่ และใช้เป็นสำนักงานกระทรวงพาณิชน์ของเมืองโปร์ตูตั้งแต่สมัยนั้น
ทางอาคารมีนำทัวร์ทุกๆ 30 นาที หรือถ้าท่านใดอย่างเดินเที่ยวอย่างสบายๆด้วยตนเอง อย่าพลาดจุดเด่น ของที่นี่ซึ่งก็คือ Salão Árabe (Arabian Hall) ห้องจัดงานสำคัญของเมือง การตกแต่งได้รับอิทธิพลมาจาก ชาวมุสลิมในแถบแอฟริกาเหนือ ด้วยลายสลักฮินดูสุดละเอียด กับการใช้สีทองมากถึง 18 กิโลกรัมในการตกแต่งห้องนี้
หลังจากที่เดินทั่ว Stock Exchange Palace แล้ว เราก็ไปต่อกันที่โบสถ์เซนต์ฟรานซิสที่อยู่ในโครงสร้างอาคารเดียวกัน แต่ต้องเดินอ้อมมุมอาคารด้านนอกแล้วขึ้นบันไดที่ติดกับถนนใหญ่ไปยังตัวโบสถ์ ซึ่งจากด้านนอกแลดูเป็นอาคารหินเก่า ไม่น่าจะเป็นที่ท่องเที่ยวได้ แต่หารู้ไม่ว่าด้านในโบสถ์นั้นอลังการอย่างไม่น่าเชื่อเลยว่า ความแตกต่างระหว่างภายในและภายนอกจะมากขนาดนี้ น่าเสียดายที่โบสถ์แห่งนี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปภายใน ทำให้ทุกคนต้องมาสัมผัสความงดงามนี้ด้วยตาตัวเองเท่านั้น
โบสถ์เซนต์ฟรานซิสถูกสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปัจจุบันไม่มีการทำพิธิการทางศาสนาในนี้แล้ว แต่ใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องซื้อตั๋วเพื่อเข้าชม โครงสร้างของโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิก แต่ภายในถูกตกแต่งใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ด้วยสไตล์บาโรก เป็นสถาปัตยกรรมที่บ่งถึงความหรูหราโอ่อ่าและความมีอำนาจของคริสต์ศาสนาและชนชั้นปกครอง ความฟู่ฟ่าจากยุคนั้นก็ถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยไม้แกะสลักเคลือบทองที่มีชื่อเสียงของที่นี่ Tree of Jessé ซึ่งจะอยู่ทางเดินทางด้านซ้าย เป็นชิ้นงานโชว์แผนผังตระกูลของพระเยซู นอกจากนี้ในส่วนบนของงานแกะสลักเหล่านี้ ยังเป็นที่เก็บศพของชาวเมืองนับพันอีกด้วย
© alterra.co
© Tom Bartel
สำหรับแฟนๆแฮรี่ พอตเตอร์ พลาดไม่ได้กับร้านหนังสือ Livraria Lello ที่ว่ากันว่าเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในการเขียนแฮรี่ พอตเตอร์ของเจ.เค.โรว์ลิ่ง เมื่อตอนที่เธอทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่เมืองโปร์ตูแห่งนี้ ร้าน Livraria Lello เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1881 โดยพี่น้องตระกูล Lello จุดเด่นของการตกแต่งภายในร้านจะอยู่ที่บันไดทรงคดเคี้ยวตรงกลาง ประกอบกับแสงไฟทะมึนที่ดูขลังและน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน เมื่อได้มาเห็นของจริงแล้วจะไม่แปลกใจเลยว่าแฮรี่ พอตเตอร์มีจุดกำเนิดมาจากที่นี่ได้อย่างไร และเนื่องจากอิทธิพลของแฟนๆ แฮรี่ พอตเตอร์ ร้านนี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวอย่างมาก ทำให้ทางร้านต้องเก็บค่าเข้าทั้งๆ ที่เป็นยังประกอบกิจการเป็นร้านขายหนังสือที่มีหนังสือให้เลือกมากมาย แต่น่าเสียดายที่ว่าส่วนใหญ่ เป็นหนังสือภาษาท้องถิ่นซึ่งเหมาะกับการซื้อสะสม โดยตั๋วเข้าร้านสามารถซื้อได้ที่ซุ้มถนนตรงข้ามร้านได้ในราคา 3 ยูโร
© Ullises
© Nelson Garrido
[su_gmap width=”1600″ address=”Livraria Lello, Portugal”]Livraria Lello[/su_gmap]
— Óbidos —
ระหว่างทางนั่งรถไปประมาณ 2 ชั่วโมงจากโปร์ตูไปยังลิสบอน เราก็ผ่านเมืองเล็กๆ ชื่อ Óbidos หรือโอบิโดส ที่ไม่ควรจะพลาดเมื่อไหนๆ ก็มาเยี่ยมเยืยนโปรตุเกสแล้ว รากฐานของคำว่าโอบีโดสมาจากภาษาละตินซึ่ง แปลว่าป้อมปราการ เหมาะกับชื่อเมืองแห่งนี้ที่สมัยก่อนเป็นเมืองป้อมที่รายล้อมด้วยกำแพงสูงเพื่อป้องกัน ศัตรู
ด้วยขนาดพื้นที่ของเมือง การเดินเที่ยวจึงใช้เวลาไม่นาน หนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างมาก ถึงจะเล็กแต่ก็มีของท้องถิ่นให้เลือกซื้อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำส้มคั้นสด หรือช็อกโกแลตใส่เหล้าเชอร์รี่ ด้วยบรรยากาศเป็นกันเอง และบ้านเรือนที่เป็นอาคารสีขาวเรียบง่าย แต่งแม่สีบ้างเล็กน้อย ทำให้ที่นี่เปรียบเหมือนเป็น Little Santorini ของโปรตุเกสเลยก็ว่าได้
โดยในช่วงสองอาทิตย์ของเดือนกรกฎาคมของทุกปี จะมีเทศกาลมาร์เก็ตยุคกลาง หรือ Medieval Market ซึ่งภายในเมืองจะมีการตกแต่งเลียนแบบสมัยยุโรปยุคกลาง (Medieval era) พร้อมกับนักแสดงกายกรรม พ่อค้าแม่ค้าแต่งตัวตามธีม อีกทั้งยังมีพาเหรดอัศวินต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองบรรยากาสของยุโรปยุคโบราณอย่างแท้จริง
— Lisbon —
เดินทางด้วยรถประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อจากเมืองโอบิโดสมายังเมืองลิสบอน (Lisbon) หรือลิซบัว (Lisboa ในภาษาโปรตุเกส) ซึ่งเป็นเมืองหลวงเพียงแห่งเดียวที่มีชายแดนติดมหาสมุทรแอตแลนติก ประชากรของโปรตุเกสถึง 27% อาศัยอยู่ที่นี่ บรรยากาศจึงคึกคักกว่าโปร์ตูมาก สิ่งแรกที่จะสังเกตเห็นตามท้องถนนคือรถตุ๊กตุ๊กพานักท่องเที่ยวไปยังจุดต่างๆ ใช่แล้วมันคือรถตุ๊กตุ๊กสามล้ออย่างบ้านเราเลย ซึ่งในภาษาอังกฤษหรือภาษาโปรตุเกสก็คือ Tuktuk อย่างที่เราคุ้นหูกันดี เป็นไปได้ว่าเราอาจได้อิทธิพลมาจากโปรตุเกสในการเรียกรถสามล้อแบบนี้ตั้งแต่สมัยล่าอาณานิคมก็เป็นได้ ด้วยลักษณะถนนที่ย่อยเป็นซอกเล็กซอยน้อยของลิสบอน รถใหญ่จึงไม่สามารถวิ่งผ่านได้ แนะนำว่าให้เดินทางโดยรถตุ๊กตุ๊กเพื่อไม่ให้เสียเวลา และไม่ต้องตกใจถ้าเจอคนขับรถส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นผู้หญิง เพราะพวกเธอขับซิ่งได้ใจไม่แพ้ตุ๊กตุ๊กบ้านเราเลย
เส้นทางชมวิวลิสบอนโดยตุ๊กตุ๊ก
• Miradouro de Sao Pedro de Alcantara
จุดชมวิวแรกก็คือจากสวน Miradouro de Sao Pedro de Alcantara จะได้วิวแบบพาโนรามาของเมือง และยังได้ชมสวนสไตล์กรีก-โรมันขนาดย่อมทางชั้นล่างอีกด้วย โดยตำแหน่งตรงข้ามถนนกับสวนนั้นก็คือ Solar do Vinho do Porto หรือสถาบันพอร์ตไวน์ ที่มีไวน์ให้ลิ้มลองถึง 300 ชนิด
การเดินทางสามารถเลือกขึ้นกระเช้าไฟฟ้ารางแบบโบราณ Glória Funicular หรือ Ascensor da Glória ที่ให้บริการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1885 เพื่อขึ้นเนินจากจตุรัส Restauradores แทนตุ๊กตุ๊ก เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ถ้าช่วงไหนนักท่องเที่ยวเยอะก็อาจต้องต่อคิวกันยาวหน่อย
• Portas Do Sol
Portas Do Sol คือจุดชมวิวต่อไปที่ไม่ควรพลาดบนพื้นที่สูงกว่าจุดชมวิวเมื่อครู่ที่แนะนำไป และวิวที่เห็นจะใกล้กับแม่น้ำทาโซ (Tagus River) ที่ไหลมาบรรจบกับมหาสมุทรแอตแลนติก จะได้วิวแบบพาโนรามาของหลังคาสีส้มอิฐตัดกับอาคารสีพาสเทลโทนร้อนอย่างสีเหลืองและสีชมพู บนฉากหลังของแม่น้ำและท้องฟ้าสีฟ้าคราม ที่ดูนานแค่ไหนก็สบายตาไม่มีเบื่อ
• Miradouro da Senhora do Monte
จากนั้นสามารถนั่งตุ๊กตุ๊กต่อเนื่องไปจุดชมวิวต่อไป ที่อยู่ถัดขึ้นไปทางเหนือกว่า Portas Do Sol เล็กน้อย แต่วิวแตกต่างกันมาก เพราะไฮไลต์จะอยู่ที่สะพานแขวนสีแดงที่ชื่อ 25 de Abril Bridge หรือ Ponte 25 de Abril ซึ่งเป็น สะพานข้ามแม่น้ำทาโซ (Tagus River) ที่เชื่อมตัวเมืองลิสบอนกับเมืองเล็กอย่างอัลมาดา โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับ Golden Gate Bridge ที่เมืองซานฟรานซิสโกมาก ที่น่าสนใจคือมันถูกสร้างด้วยบริษัทก่อสร้างอเมริกัน แต่ไม่ใช่เจ้าเดียวกับที่สร้าง Golden Gate นะ บางคนอาจสับสนได้
• Bairro alto
จุดหมายต่อไปก็คือ Bairro Alto ซึ่งคำว่า bairro แปลว่า ละแวก ซึ่งเป็นชื่อเรียกพื้นที่บริเวณตอนเหนือของกรุงลิสบอน ที่ละแวกนี้เอง คือพื้นที่ที่มีผู้คนเริ่มมาสร้างที่อยู่อาศัยนอกกำแพงเมืองลิสบอนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยลักษณะถนนจะไม่เรียบเพราะทำมาจากหินและเป็นเนินขึ้นลงตลอด อาคารตึกแถวบริเวณนี้สูงประมาณสามชั้น ตกแต่งสีสันสดไสไม่แพ้เวนิสเลยทีเดียว
• Chiado
บริเวณจตุรัส Chaido ใกล้กับ Bairro Alto เป็นแหล่งพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวเมือง ที่ออกมาพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด สามารถเดินมาจาก Bairro Alto ได้อย่างรวดเร็ว ละแวกนี้มีร้านขายของมากมายและร้านอาหารนานาชนิดให้ลองชิม
Jerónimos Monastery คือหนึ่งในสถานที่สำคัญที่ควรมาเยี่ยมชม เป็นหนึ่งในมรดกโลกโดย UNESCO ตั้งแต่ปี 1983 โดยคำว่า monastery เมื่อแปลตรงตัวก็คืออาราม หรือที่อยู่อาศัยของพระนั่นเอง
เมื่อมองจากด้านนอก ตัวอาคารหินสีขาวตัดกับท้องฟ้าใส ประกอบกับหินแกะสลักตรงทางเข้าที่มีความละเอียดอ่อน เมื่อเข้าไปด้านในตัวโบสถ์แล้วบรรยากาศจะมืดลงทันที แต่ด้วยความมืดนี้ ก็ทำให้ภายในดูขลังและโอ่อ่ากว่าภายนอกมาก อารามแห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิก ที่จะมีช่วงเพดานเป็นแฉก และมีลูกเล่นที่มีเฉพาะในโปรตุเกสที่เรียกว่า Manueline ที่จะค่อนข้างทันสมัยในเรื่องของรูปทรงการแกะสลักและโครงสร้าง จะสังเกตได้จากเสาแกะสลัก เป็นเชือกขดและดูเป็นดีไซน์ร่วมสมัย ซึ่งจะอยู่ทางเสาด้านบนที่ติดกับกำแพง
เมื่อเดินรอบโบสถ์กันเหนื่อยแล้ว สิ่งที่ควรต้องไปลองชิมเพื่อเติมพลังต่อ ก็คือทาร์ตไข่ ขนมท้องถิ่นของโปรตุเกส ที่ร้าน Pasteis de Belem ที่ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ทางด้านซ้ายของโบสถ์ ใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาที จุดสังเกตคือป้ายสีฟ้าและคนเข้าคิวนอกร้าน แนะนำว่าให้สั่งทานขนมในร้าน คิวด้านหน้าเป็นคิวสำหรับเอากลับเท่านั้น และเหตุผลที่นักท่องเที่ยวต่อคิวเยอะขนาดนี้ ก็เพราะร้านขนมแห่งนี้มีประวัติอันยาวนานมากกว่าร้อยปี ตั้งแต่การปฏิวัติล้มล้างสำนักสงฆ์และชี คณะสงฆ์จึงถูกไล่ออกและไม่มีงานทำ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดร้าน Pasteis de Belem ที่ยังคงส่วนผสมและสูตรเดิมตั้งแต่ปี 1837 ที่กรอบและนุ่มใน โรยน้ำตาลไอซิ่งและผงอบเชยตามความชอบ นอกจากทาร์ตไข่แล้วยังมีขนมฝอยทองต้นตำรับให้ทานอีกด้วย หารู้ไม่ว่าขนมไทยที่เรารู้จักกันดีนั้น จริงๆ แล้วคือขนมท้องถิ่นของโปรตุเกสที่ได้เข้ามาในประเทศเราตั้งแต่สมัยก่อนนั่นเอง
เมื่ออิ่มท้อง ก็พร้อมเดินต่อไปยัง อนุสาวรีย์แห่งการค้นพบ (Padrão dos Descobrimentos หรือ Monument to the Discoveries) เป็นอนุสาวรีย์ติดกับแม่น้ำทาโซ (Tagus River) ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ของโปรตุเกสกับความสำเร็จของนักสำรวจชาวโปรตุเกสในการทำการค้าขายกับประเทศอินเดียและทวีปเอเชียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16
เมื่อไปยืนใกล้ๆ ก็จะรับรู้ได้ถึงความอลังการของอนุสาวรีย์ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสื่อถึงความมีอิทธิพลของโปรตุเกส อย่างแท้จริง นอกจากนี้ทางด้านขวาหันออกไปยังแม่น้ำถัดไปจากอนุสาวรีย์ก็คือ Belém Tower หรือป้อม ปราการที่เป็นมรดกโลกเนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญในยุคแห่งการสำรวจของชาวโปรตุเกส
ปิดท้าย City Guide ลิสบอนด้วยรายการอิ่มท้อง เริ่มด้วย Time Out Mercado da Ribeira หรือตลาดไทม์ เอาต์แห่งเมืองลิสบอน มีลักษณะคล้ายฟู้ดคอร์ตบ้านเรา แต่อีกฝั่งหนึ่งของอาคารจะเป็นตลาดสด สามารถใช้เงินสดซื้อได้เลยที่แต่ละร้าน โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาหารทะเลเพราะเป็นอาหารหลักของโปรตุเกส เมนูที่แนะนำก็คือแซนด์วิชทูน่ารมควัน บวกกับขนมปังนิ่มสีดำที่มีความลงตัวแบบแปลกใหม่ ต้องลอง!
จบทริปที่ร้านอาหารทะเล Cervejaria Ramiro ร้านนี้ไม่มีเมนูปลา ส่วนใหญ่จะเน้นกุ้ง เมนูแนะนำคือกุ้งแดงตัวใหญ่ที่ไม่ต้องจิ้มซอสใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเนื้อกุ้งหวานชื่นใจอยู่แล้ว ร้านนี้ไม่สามารถจองโต๊ะได้จึงมีแถวยาวเหยียดรออยู่นอกร้าน แต่บอกเลยว่าคุ้มค่ากับการรอคอย เพราะอาหารทะเลสดและอร่อยมาก ส่วนราคาก็ย่อมเยา บรรยากาศคล้ายภัตตาคารอาหารจีนบ้านเรา เสียงดังแต่เป็นกันเอง