LONDON: เดินตากฝนได้โดยไม่เปียกที่ Rain Room นิทรรศการกลางสายฝนที่ผู้ชมไม่ต้องพกร่ม!
‘คุ้มค่าทุกนาที’ น่าจะเป็นคำนิยามที่ดีที่สุดของการต่อแถวรอเข้าชมนิทรรศการชื่อ Rain Room จัดขึ้นที่ Barbican Centre ในกรุงลอนดอนเมื่อ 3 ปีก่อน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่นิทรรศการที่เราตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อและยินดีที่จะต่อแถวนานหลายชั่วโมงอย่างไม่ต้องสงสัย
จำได้ว่า ในบ่ายวันพฤหัสฯ ของเดือนมีนาคม ในปีที่ควรจะเข้าฤดูใบไม้ผลิและสละเสื้อกันหนาวบางชั้นเก็บไว้ที่บ้านได้แล้ว เราจูงมือเพื่อนไป Barbican Centre โดยนั่ง Tube ไปลงที่สถานี Barbican แล้วเดินต่อไปทาง Beech Street อีกประมาณ 5-10 นาที ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเดินเร็วและไหวพริบด้านการจดจำเส้นทางของแต่ละคน
ความรู้เกี่ยวกับ Rain Room ที่เรามีในวันนั้นคือ
1. Rain Room เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับฝนที่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยมากๆ แสงไฟในห้องที่พอดิบพอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป เหมาะกับการถ่ายภาพซิลูเอทแบบที่เห็นแต่เงา
2. เราสามารถเดินตากฝนได้โดยไม่เปียก เดินตากฝนได้โดยไม่เปียก! ที่ต้องเน้นอีกครั้งพร้อมใส่เครื่องหมายตกใจเพราะไอเดียมันเจ๋งอย่างที่ว่านั่นแหละ นี่คือสิ่งที่ทุกคนตามหา แม่เองยังเคยเล่าว่า สมัยที่คบกับพ่อใหม่ๆ ง้องอนกันจนถึงขั้นออกไปเดินกลางฝนแล้วอนุมานว่ามีเพลง Crying in the Rain บรรเลงประกอบไปด้วย ซึ่งมันคงจะโรแมนติกกว่านั้น หากแม่ไม่ต้องรีบกลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังร้องไห้ หรือถ้าโชคร้ายหน่อยอาจจะต้องนอนซมเพราะไข้หวัดไปอีกหลายวัน
การเปียกฝน ไม่ใช่เรื่องสนุกทั้งกับคนอกหักและคนที่หัวใจยังแข็งแรงอยู่
ทันทีที่ไปถึง Barbican Centre เราเร่งฝีเท้าไปที่ The Curve Gallery ที่จัดแสดงนิทรรศการนี้ พบคนจำนวนหนึ่งต่อแถวอยู่ก่อนแล้ว เรารีบตรงไปหาเจ้าหน้าที่หน้าตาจิ้มลิ้มด้านหน้าทันที
“How long will we have to wait to get in the Rain Room?”
“Approximately five hours.”
5 ชั่วโมง! เรากับเพื่อนหันมาสบตากันปริบๆ ถอยออกมาตั้งหลักที่ร้านอาหารภายในนั้น ปรึกษากันอย่างเบาที่สุด ประหนึ่งว่าทุกคนที่นี่ฟังภาษาไทยรู้เรื่อง แล้วตกลงกันว่า เราจะกลับมาใหม่ในเช้าตรู่ของวันเสาร์ ยังไงก็ไม่ได้รอ 5 ชั่วโมงแน่ๆ
แต่ทุกอย่างมักไม่เป็นตามที่คิดใครก็รู้ วันเสาร์เรารู้สึกตัวตื่นก็สิบโมงแล้ว กว่าเพื่อนจะจัดการตัวเอง กว่าตัวเราจะจัดการตัวเอง กว่าจะเคลื่อนย้ายตัวเราและตัวเพื่อนไปถึง Barbican Centre ก็เที่ยงเห็นจะได้ แต่ต้องใจชื้นเพราะแถวที่รอไม่คดเคี้ยวเหมือนเมื่อ 2 วันก่อน จะวนไปวนมาอยู่ตรงหัวแถวเท่านั้น เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน… แล้วปลายแถวล่ะอยู่ที่ไหน
เราเดินไล่ตามแถวไปเรื่อยๆ จนออกประตูไปสู่อากาศที่หนาวจับใจ ผ่านมาสองวันแล้ว ความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิก็ยังมาไม่ถึง และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เราคิด ‘ยังไงก็ไม่ได้รอ 5 ชั่วโมงแน่ๆ’ เพราะมันนานกว่านั้นแน่นอน เรากับเพื่อนหันมาสบตากันปริบๆ อีกครั้ง แต่แทนที่จะเดินถอยหลังอย่างคราวก่อน กลับเดินตรงเข้าไปที่ปลายแถว นั่งลง ก่อนที่จะหยิบเอาผ้าทุกชิ้นในกระเป๋า ไม่ว่าจะเป็นถุงมือ หมวก หรือผ้าพันคอ โดยไม่สนใจแล้วว่าสีและแบบมันจะเข้ากับชุดที่ใส่ไปหรือเปล่า เพราะ ณ เวลานั้น ความสวยก็ไม่ช่วยให้เรารอดไปจากแถวนี้ได้เลย
นั่งคุยกับเพื่อนไปได้สองชั่วโมงก็เอียนแล้ว เราเริ่มเบื่อขี้หน้ากัน หันหน้ามองคนอื่นเสียส่วนใหญ่ ความสนุกหนึ่งเดียวในแถวนั้นคือ การสังเกตเพื่อนในแถวด้วยกัน มีแก๊งหนึ่งอยู่หน้าเราประมาณ 10 คิว เตรียมไพ่นั่งล้อมวงอย่างสนุกสนาน ข้างหลังเราเป็นนักเรียนผู้หญิงมาคนเดียว พกหนังสือมาอ่าน เหมือนรู้มาก่อนว่าจะต้องเจอกับอะไร ส่วนข้างหน้าเป็นผู้ชายที่เล่าให้เราฟังว่าทันทีที่ลงเครื่องจากนิวยอร์ก ก็นั่งรถตรงมาที่นี่ ดูจากสภาพแล้วคงไม่ได้นอนบนเครื่องแน่ๆ ถัดไปเป็นผู้หญิงคนหน้าพ่อหนุ่มนิวยอร์กที่ดูเก๋ไก๋ไม่ใช่เล่น ไว้ผมบ็อบดัดลอนเล็กๆ สวมชุดดำทั้งชุด ถอดแบบลอนดอนเนอร์มาไม่มีผิด เรามองซ้ายที มองขวาที ก็เหลือบไปเห็นพนักงานส่งพิซซ่า ซึ่งคนสั่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแก๊งเล่นไพ่ด้านหน้านั่นแหละ
พอดูคนเบื่อก็หันมาคุยกับเพื่อน พอคุยกันจนเอียนก็แยกย้ายไปดูคนใหม่ สลับไป วนมา อยู่อย่างนี้ ผ่านไปสักพัก ทาง Barbican คงเห็นใจหรือไม่ก็ทนความอ่อนแรงของแต่ละคนไม่ไหว เลยยกขบวนพนักงานเสื้อเหลืองมาเต้นเอนเตอร์เทนกันยกใหญ่ เต้นไม่ได้พร้อมกันหรอก แต่ดูไปดูมาก็เพลินดี พอหันไปอีกที แก๊งเล่นไพ่เก็บกระเป๋าลุกออกจากแถวไปเสียเฉยๆ วินาทีนั้นเหมือนเขาถูกโหวตออกจากบ้านเอเอฟเลยนะ คือแพ้… แพ้อย่างเดียวเลย
เครื่องมือช่วยชีวิตอีกชิ้นหนึ่งคือ แผ่นพับ ที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ประจำแกเลอรี่ แผ่นพับมีข้อมูลเกี่ยวกับนิทรรศการ ทั้งหมด อาทิเช่น เจ้าของผลงานชิ้นนี้คือ Random International ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 โดย Hannes Koch, Florian Ortkrass และ Stuart Wood ศิษย์เก่าของ Royal College of Art ปัจจุบัน สตูดิโอของพวกตั้งอยู่ใน Chelsea เป็นต้น
จุดเริ่มต้นของ Rain Room คือความรู้ที่ได้จากงานเก่าๆ ของ Random International เกี่ยวกับกล้องสามมิติที่สามารถติดตามคนได้ ไอเดียแบบรวบรัดก็คือ ‘ถ้าคนอยู่ตรงไหน ฝนจะไม่ตกตรงนั้น’ แต่คำถามที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เขาจะทำให้ฝนตกได้ยังไง พวกเขาเริ่มจากสตูดิโอเล็กๆ พยายามจะเลียนแบบน้ำฝนเพียงหยดเดียวเท่านั้น แต่ฝนตกไม่เหมือนการเปิดก๊อกน้ำ การสร้างฝนที่เหมือนกับฝนจึงเป็นความท้าทายยิ่งกว่าการสร้างสถานการณ์สมมติ หรือโลกที่คนเดินตากฝนแล้วไม่เปียกอีกหลายสิบเท่า
นอกจากนี้ แผ่นพับยังบอกอีกว่า Rain Room สร้างขึ้นเพราะอยากให้ผู้คนได้รู้ว่า ถ้าทุกคนสามารถควบคุมฝนที่ตกลงมาได้จะเป็นอย่างไร โดยทั้งเสียงและกลิ่นของน้ำฝนในนั้นออกแบบมาให้เหมือนจริงอย่างไม่น่าเชื่อ และหวังว่าห้องมหัศจรรย์ห้องนี้จะช่วยก่อตัวความสัมพันธ์ระหว่างผู้มาเยี่ยมชมกับงานศิลปะ/ คนและเครื่องจักร ได้ไม่มากก็น้อย
หลังจากอ่านแผ่นพับ พลิกหน้า พลิกหลัง ไปเข้าห้องน้ำโดยผลัดกันจองแถวเฝ้าของกับคนข้างหลังมาร่วม 12 ชั่วโมง เราก็ได้เข้าไปใน Rain Room ด้วยสภาพที่เบลอที่สุดในรอบหลายวัน และภาพเหล่านี้คือ เรื่องเล่าจากห้องนั้น
ถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์เดินตากฝนร้องไห้แต่ตัวไม่เปียก ตอนนี้นิทรรศการกำลังจัดแสดงอยู่ที่ LACMA (Los Angeles County Museum of Art) เมืองลอสแอนเจลิส ไปจนถึงวันที่ 6 มีนาคม 2016 โดยสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ random-international.com
สุดท้ายนี้ เราหวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับโลกสมมติใน Rain Room และการฟังเพลง Crying in the Rain อย่างเข้ารส โดยไม่มีของแถมเป็นไข้หวัดกลับมาบ้าน
[su_tabs][su_tab title=”Details”]
Dates: 1 พฤจิกายน 2015 – 6 มีนาคม 2016
Opening Hours:
วันเสาร์ วันอาทิตย์ เวลา 10:00 AM – 7:00 PM
วันจันทร์ วันอังคาร และวันพฤหัส เวลา 11:00 AM – 5:00 PM
วันศุกร์ เวลา 11:00 AM – 8:00 PM
ปิดทุกวันพุธ
Admission: ผู้ใหญ่ $15, เด็ก(3-17 ปี) $10
Location:
LACMA
5905 Wilshire Blvd.
Los Angeles CA 90036
[su_gmap width=”1600″ address=”lacma”][su_gmap address=”The High Line”][/su_gmap]
[/su_tab][/su_tabs]