ขับรถเที่ยว Romantic Road เยี่ยมเมืองยุคกลางและปราสาทเทพนิยายทางตอนใต้ของเยอรมนี
กันยายน เดือนแห่งการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล สิ้นสุดช่วงซัมเมอร์ที่ดุเดือดของยุโรป เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ช่วงที่อุณหภูมิค่อยๆ ลดต่ำลงพร้อมๆ กับใบไม้สีแดงส้ม ที่เริ่มร่วงหล่นลงสู่ดิน
เราเดินทางมาแคว้นบาวาเรีย ทางตอนใต้ของเยอรมนีในช่วงปลายเดือนกันยายน เป้าหมายหลักคือเพื่อมาร่วมเทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก Oktoberfest แห่งเมืองมิวนิค ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ค.ศ. 1810 แต่ความน่าสนใจของดินแดนนี้ไม่ได้มีแค่เบียร์ ดังนั้นแทนที่จะมุ่งตรงไปที่มิวนิค เราจึงถือโอกาสเดินทางสำรวจเมืองต่างๆ ทางตอนใต้ของเยอรมัน ก่อนที่จะไปจบทริปกันที่มหานครแห่งเบียร์
คนไทยสามารถเดินทางมาเที่ยวบาวาเรียได้ง่ายๆ ด้วยเที่ยวบินตรงสู่มิวนิค แล้วเชื่อมต่อสู่เมืองต่างๆ ทางรถไฟ แต่ในทริปนี้เราเลือกที่จะเช่ารถขับเที่ยวกันเอง เพราะว่าดินแดนแถบนี้มีเส้นทางขับรถที่มีชื่อเสียงและว่ากันว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเยอรมนี นั่นก็คือเส้นทางโรแมนติก หรือที่หลายคนอาจจะคุ้นกันในชื่อ Romantic Road
การขับรถเที่ยวเองในต่างประเทศ ผู้ขับขี่ต่างด้าวอย่างเราๆ ต้องพกทั้งใบขับขี่สากลและใบขับขี่ไทยติดตัวไว้ทั้งคู่เสมอ เพราะหากมีเหตุให้ต้องแสดงขึ้นมา จะต้องใช้ทั้งสองใบคู่กัน ส่วนอีกหนึ่งใบที่ขาดไม่ได้คือบัตรเครดิตคู่ใจ เพราะการขับรถเดินทางเองจะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตลอดทาง ทั้งค่าเช่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ไปจนค่าที่จอดรถ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรพลาดที่จะเที่ยวไปด้วยสะสมแต้มผ่านบัตรไปด้วย เพราะแต้มจากบัตร Citi Prestige สามารถนำไปต่อยอดรับสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการเดินทางสำหรับทริปต่อไปในอนาคตได้อีก ที่สำคัญได้แต้ม 3 เท่าสำหรับการใช้จ่ายที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศอีกด้วย
เส้นทางโรแมนติก (Romantic Road หรือ Romantische Straße) ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงค.ศ.1950 เพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นการท่องเที่ยวหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง นักเดินทางกลุ่มแรกที่มาเที่ยวบนเส้นทางนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น คือมิตรสหายและครอบครัวของทหารอเมริกันที่ประจำการอยู่ที่ฐานทัพในบาวาเรียและบาเดิน ที่พากันขับรถล่องใต้ จาก Würzburg สู่ Füssen บริเวณเทือกเขาแอลป์ตอนใต้สุดของเยอรมัน หลังจากนั้นไม่นาน ชื่อเสียงของเส้นทางโรแมนติกก็ถูกบอกต่อกันไป จนนักท่องเที่ยวก็เริ่มทยอยกันเข้ามา จากปีละหลักแสนคน สู่ปีละหลักล้านคน และกลายเป็นเส้นทางยอดนิยมไปในที่สุด
ที่จริง Romantic Road เริ่มต้นที่เมือง Würzburg แต่เรามาตั้งต้นกันที่ Frankfurt ซึ่งอยู่ห่างออกมาทางตะวันตกประมาณ 120 กม. แค่เพราะเราอยากจะขับรถบนทางด่วน autobahn แบบยาวๆ ดูสักช่วง เนื่องจากหลังเมือง Würzburg ไป เส้นทางส่วนใหญ่จะเป็นถนนเส้นย่อยในพื้นที่ชนบท ซึ่งทิวทัศน์สวยงามกว่า แต่อาจจะขับไม่สนุกเท่า
Travel Tips #1
การรอขึ้นหรือต่อเครื่องนานๆ พร้อมคนเยอะๆ อาจะทำให้เราเหนื่อยได้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง ผู้ถือบัตร Citi Prestige สามารถใช้บริการห้องรับรองพิเศษที่สนามบินกว่า 800 แห่งทั่วโลกกับบัตรPriority PassTM ช่วยประหยัดพลังไว้ใช้ตอนเที่ยวได้เต็มที่ยิ่งกว่า
สำหรับคนที่ไม่คุ้นหูกับชื่อทางด่วนของเยอรมัน autobahn หรือ bundesautobahn คือทางหลวงสายหลักที่ไม่มีการจำกัดความเร็ว และขึ้นชื่อเรื่องความเรียบและตรง เรียกได้ว่าเป็นถนนที่รถยนต์สามารถแสดงสมรรถนะที่แท้จริงออกมาได้ดีที่สุด สังเกตได้จากรถแบรนด์เยอรมันล้วนบนท้องถนน ที่วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ย 180-200 กม./ชม. กันแทบทุกคัน ประเด็นที่น่าสนใจคือ autobahn นั้นเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงจากรัฐบาลนาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ที่เห็นความสำคัญของโครงการนี้ ซึ่งแรกแริ่มเดิมทีตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาลไวมาร์ เมื่อราวปีค.ศ. 1920 แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า เมื่อผ่านมาถึงยุคฮิตเลอร์ เขาจึงผลักดันโครงการนี้จนสำเร็จในปีค.ศ. 1933 เป็นเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ถนนพหลโยธิน และถนนมิตรภาพ ทางหลวงหมายเลข 1 และ 2 ของประเทศไทยถูกสร้างขึ้นในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงครามพอดี ถึงแม้ว่าแนวคลั่งชาติในช่วงต้นศตวรรตที่ 21 จะก่อให้เกิดสงครามมากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านวัตกรรมและความก้าวหน้าทางวิทยาการทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตผลจากสงคราม ซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมที่กระตุ้นให้แต่ละชาติต้องพัฒนาประเทศของตนให้ก้าวหน้านำคู่แข่ง
ระหว่างที่ขับรถไป เราก็จินตนาการภาพรถทหารของกองทัพนาซี ที่อาจเคยวิ่งลำเลียงกองพลบนถนนสายเดียวกันนี้เมื่อ 70 กว่าปีก่อนไปด้วย คงเป็นภาพที่เท่ดีเมื่ออยู่ในหนังแต่คงทำให้ใจไม่เป็นสุขถ้าต้องเจอจริงๆ หากเลือกได้เราขอเลือกอยู่ในยุคที่สามารถเดินทางไปเที่ยวประเทศไหนก็ได้อย่างสบายใจดีกว่า
เมืองแรกที่เรามาถึงคือ Würzburg เมืองหลวงแห่งไวน์ของดินแดนแฟรงโคเนียที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไมน์ เมืองนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวเพราะนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นยอดนิยมสำหรับเส้นทางโรแมนติกแล้ว Würzburg ยังเป็นจุดแวะพักของนักเดินทางทางเรือ ที่ล่อง river cruise มาบนเส้นทางแม่น้ำไรห์น-ไมน์-ดานูบ ที่ทางตะวันตกตั้งต้นจากเมืองอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ และทางตะวันออกที่ยาวต่อเนื่องผ่านออสเตรีย ฮังการี สโลวาเกีย ไปจนถึงโรมาเนียและบัลแกเรีย
สถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์และกอธิคที่พบเห็นได้ทั่วไป บ่งบอกถึงอายุของเมืองนี้ได้เป็นอย่างดี การมีอยู่ของมหาวิหาร Dom St. Kilian (Würzburg Cathedral) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเยอรมัน แสดงให้เห็นว่า Würzburg นั้นเป็นเมืองใหญ่มาตั้งแต่ยุคอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จริงแล้วความเก่าแก่ของเมืองนี้ย้อนไปได้ไกลถึง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล โบสถ์แห่งแรกของเมืองถูกสร้างขึ้นในป้อมปราการ Marienberg ตั้งแต่เมื่อปีค.ศ. 706 เทียบเวลาแล้วเกิดก่อนอาณาจักรสุโขทัยเราราว 500 ร้อยปีเลยทีเดียว
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพอังกฤษโจมตี Würzburg อย่างหนัก จนพื้นที่กว่า 80% ของเมืองถูกทำลายและมอดไหม้ในเปลวเพลิง ทั้งโบสถ์และมหาวิหารโบราณอายุหลายร้อยปี สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนโรงพยาบาลทหาร อาคารบ้านเรือนเก่าแก่ รวมไปถึง Würzburg Residence วังของมุขนายกแห่ง Würzburg ที่โด่งดังด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรกก็ถูกเผาทำลายเช่นกัน หลังจากใช้เวลาหลายสิบปีในการฟื้นฟู วังแห่งนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมื่อปีค.ศ. 1981
จาก Würzburg เราขับล่องใต้ต่อไปทางถนน B19 เข้าสู่เขต Main-Tauber-Kreis แม้ถนนจะมีเพียงฝั่งละเลนวิ่งสวนกัน แต่มาตรฐานความเร็วบนถนนก็ไม่ได้ลดลงเท่าไหร่ แต่ละคันรักษาอัตราเร่งกันที่ 120 กม./ชม.ขึ้นไป จากที่วางแผนไว้ว่าจะขับแบบชมนกชมไม้ เราเลยต้องขับโดยจินตนาการว่ากำลังวิ่งอยู่บนสนามแข่ง Nürburgring ระหว่างทางเราแวะซื้อของจุกจิกกันที่เมือง Bad Mergentheim อีกหนึ่งเมืองใหญ่ในเขตหุบเขา Tauber ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะเมืองแห่งสปาและน้ำแร่มายาวนานนับร้อยปี และยังเคยเป็นเมืองฐานที่มั่นของเหล่าอัศวินทิวทอนิก คณะนักรบคริสเตียนที่มีชื่อเสียงในยุคกลาง หลังจากเดินเล่นรอบลานตลาดในเมืองสักพัก เราก็ออกเดินทางกันต่อเพื่อมุ่งหน้าไปจบวันให้ทันพระอาทิตย์ตกที่เมือง Rothenburg ob der Tauber
เรามาถึง Rothenburg ob der Tauber ช่วงเย็นพอดี เห็นบรรยากาศเมืองเงียบเชียบก็แอบรู้สึกดีใจที่ไม่เจอความพลุกพล่านของกรุ๊ปทัวร์ ที่ไหนได้ร้านอาหารเต็มแทบทุกร้านจนเราเกือบไม่มีที่ทานมื้อเย็น เจ้าของที่พักของเราแนะนำว่าร้าน Gasthof Goldener Greifen (ตึกสีเขียวในภาพ) เป็นร้านอร่อยประจำเมือง แต่กว่าจะมาถึงก็ไม่มีที่เหลือให้เราแล้ว เราจึงต้องไปฝากท้องกับร้านข้างๆ แทน
หลังจากทานอิ่มเดินออกมาจากร้าน เราสังเกตเห็นว่าจัตุรัสกลางเมืองมีคนยืนมุงกันอยู่เป็นกลุ่มหลายสิบคน เราจึงเดินเข้าไปร่วมด้วยตามประสาไทยมุง จึงพบว่ามีคุณลุง night watch คนหนึ่งกำลังเล่าประวัติเมืองให้นักท่องเที่ยวฟังอยู่ “ผู้พิทักษ์ยามราตรี” คนนี้แต่งองค์ทรงเครื่องแบบยุคกลาง มือขวาถือ Halberd (ขวานปลายหอก) มือซ้ายถือตะเกียงเจ้าพายุ และยังห้อยแตรเขาสัตว์ไว้ที่คออีกด้วย เขาเล่าว่าตำแหน่ง night watch ของเขานั้นมีอยู่จริงและสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน ต่างออกไปแค่การเดินเวรยามค่ำคืนนั้นไม่จำเป็นแล้ว เขาจึงมีหน้าที่ใหม่ คือเป็นไกด์พานักท่องเที่ยวเดินชมเมืองยามค่ำคืนและบอกเล่าเรื่องราวของเมืองนี้ให้ทุกคนได้ฟัง เกร็ดประวัติศาสตร์ที่เขาเล่าสนุกและฟังเพลินมาก ได้รสชาติกว่าไปนั่งอ่านเองจากอินเตอร์เน็ตเป็นไหนๆ หากใครไปเที่ยวเมืองเก่าแล้วเจอไกด์รูปแบบนี้ขอแนะนำให้ลองดู ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาและสนับสนุนคนท้องถิ่นไปอีกทาง
เช้าวันถัดมาทางโรงแรมของเราเตรียม cold cuts ชีสและขนมปังชนิดต่างๆ พร้อมทั้งผลไม้และน้ำแอปเปิ้ลซึ่งเป็นผลิตผลท้องถิ่นไว้ให้เป็นอาหารเช้าง่ายๆ แต่อร่อยเหมาะสมกับบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง แต่ละโต๊ะจะมีธงชาติตามประเทศของผู้เข้าพักตั้งอยู่เป็นลูกเล่นน่ารักๆ (น่าเสียดายที่เขาไม่มีธงชาติไทย) เมืองเก่าเหล่านี้จะไม่ค่อยมีโรงแรมเครือใหญ่ให้เห็นสักเท่าไหร่ ส่วนมากจะเป็นโรงแรมของคนท้องที่ ต้อนรับแขกแบบสบายๆ เป็นกันเอง หากต้องการข้อมูลที่เที่ยวหรืออยากสอบถามเส้นทาง ก็สามารถปรึกษาเจ้าบ้านได้เลย คนเยอรมันพูดภาษาอังกฤษได้แทบทุกคน แต่คนแถบบาวาเรียจะมีสำเนียงท้องถิ่นเฉพาะตัวที่ต่างออกไปเล็กน้อย เรียกว่าเป็น soundtrack เอกลักษณ์เฉพาะถิ่นก็คงได้
หลังมือเช้า เราเช็คเอาท์ออกไปเตร็ดเตร่เดินเล่นในเมืองกันอีกรอบ ก่อนจะออกเดินทางต่อไปยังจุดหมายถัดไปในช่วงสายวันที่สองของการเดินทาง
Travel Tips #2
ผู้ถือบัตร Citi Prestige สามารถรับสิทธิพิเศษพักคืนที่ 4 ฟรี! ไม่จำกัดจำนวนครั้ง การเลือกใช้บัตรที่มีสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการเดินทาง นอกจากจะทำให้สบายในทริปนี้แล้ว ยังมีผลต่อเนื่องจากการสะสมแต้มถึงทริปหน้าอีกด้วย รักจะเที่ยวต้องวางแผนให้ดี!
ชื่อของเมือง Rothenburg ob der Tauber แปลตรงตัวได้ว่า “ป้อมปราการสีแดงเหนือแม่น้ำทาวเบอร์” ชื่อทำให้นึกถึงปราสาทหลวง Red Keep ในซีรีย์ดัง Game of Thrones ขึ้นมาทันที ในช่วงยุคกลางเมืองเก่าแก่แห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางการค้าที่มั่งคั่งของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ที่ตั้งอยู่บนทางแยกของเส้นทางการค้าเหนือ-ใต้ ตัดกับเส้นทางตะวันออก-ตะวันตก ทำให้พ่อค้าจากทุกสารทิศต้องเดินทางผ่านมาที่นี่ และนำเอาสิ่งทอจากขนแกะซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อประจำเมืองออกไปค้าขาย จน Rothenburg ob der Tauber ติดอันดับเมืองที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ สามารถสร้างกำแพงสูงขึ้นล้อมรอบป้องกันตัวเมืองชั้นในจนแข็งแกร่งยากต่อการโจมตี แต่สุดท้ายก็ต้องเมืองแตกเมื่อค.ศ. 1631 ในสงคราม 30 ปี (สงครามศาสนาระหว่างคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกกับโปรเตสแตนท์) ว่ากันว่าเหตุที่กำแพงไร้เทียมทานต้องถึงคราวพ่าย ก็เพราะอุบัติเหตุจากคนในเมืองเอง ที่เผลอถือคบไฟเข้าไปในหอเก็บดินปืน จนเกิดการระเบิดรุนแรง สร้างช่องโหว่ให้กองทัพศัตรูที่นำโดย Johann Tserclaes เคานต์แห่ง Tilly จากฝ่ายคาทอลิกยกทัพเข้ายึดเมืองได้โดยง่าย
ถึงแม้ชาวเมืองจะได้รับการไว้ชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่เคราห์กรรมก็ยังไม่จบสิ้น ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันได้เกิดการระบาดของกาฬโรคขึ้นที่นี่ และด้วยวิถีชีวิตที่ผิดสุขลักษณะในยุคกลาง ซึ่งผู้คนโยนเศษอาหาร เทกระโถนปัสสาวะและอุจจาระออกนอกหน้าต่างบ้านกันอย่างไร้อารยธรรม กาฬโรคจึงระบาดเร็วเป็นเท่าทวี ทำให้ชาวเมืองเสียชีวิตไปกว่าครึ่ง ในที่สุดเศรษฐกิจของเมืองหยุดชะงักและล้มละลายลง จน Rothenburg ob der Tauber แทบจะเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล
กิจกรรมที่ควรทำเมื่อมาเยี่ยมชมเมือง Rothenburg ob der Tauber คือการเดินตามแนวกำแพงอันโด่งดัง ซึ่งในอดีตเคยปกป้องเมืองไว้ได้หลายครั้งหลายคราว เส้นทางบนกำแพงมีความยาวประมาณ 2.5 กม. มีบันไดให้ขึ้นลงกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ นอกจากนี้ตามผนังกำแพงจะมีรายชื่อของผู้ที่บริจาคเงินเพื่อช่วยฟื้นฟูเมืองหลังสงครามจากทั่วโลกอีกด้วย
Schneeballen (บอลหิมะ) ขนมหวานชื่อดังประจำเมือง Rothenburg ob der Tauber ที่มีถิ่นกำเนิดในดินแดนแฟรงโคเนียแถบนี้ และหาทานได้ที่เมืองนี้เท่านั้น เนื้อให้ความรู้สึกคล้ายๆ ครองแครงกรอบ แต่มีรสชาติให้เลือกหลากหลายกว่า
ยุคกลาง กับ การทรมานนักโทษ เรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน ทำให้พิพิธภัณฑ์อาชญากรรมแห่งยุคกลาง (Medieval Crime Museum) ของที่นี่มีความน่าสนใจ เพราะได้รวบรวมเอาอุปกรณ์ลงทัณฑ์และทรมานของจริงชนิดต่างๆ มาจัดแสดงเอาไว้หลากหลายรูปแบบ
หนึ่งในอุปกรณ์ลงทัณฑ์ที่สะดุดตาเราคือ Shame Mask หรือ “หน้ากากแห่งความอับอาย” ใช้สำหรับลงโทษผู้หญิงขี้นินทา มีหูที่ใหญ่ไว้ฟังเรื่องชาวบ้านและมีลิ้นที่ยาวเพราะปากมากพูดไปเรื่อย กฎหมายในยุคกลางมักจะใช้การประจานเป็นบทลงโทษในหลายกรณี แม้แต่การเมาหัวราน้ำก็ถือเป็นความผิดต้องถูกประจาน เป็นนักดนตรีที่เล่นไม่ได้เรื่องก็มีความผิดต้องถูกประจาน มีอุปกรณ์ลงโทษมากมายหลายชนิดที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความอับอายโดยเฉพาะ เรียกได้ว่ายุคกลางเป็นช่วงที่มีความสร้างสรรค์ในการลงโทษคนที่สุดยุคหนึ่งเลยก็ว่าได้
เวลาผ่านไปนับร้อยปี Rothenburg ob der Tauber ค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่ก็ต้องมาพบกับเหตุการณ์สุ่มเสี่ยงครั้งใหญ่ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อทหารนาซีที่แตกพ่ายหนีมาหลบซ่อนกันที่เมืองนี้ และกองทัพสหรัฐได้รับคำสั่งให้ติดตามมาทิ้งระเบิดจัดการให้ราบเป็นหน้ากลอง เคราะห์ดีที่ผู้บัญชาการในปฏิบัติการครั้งนั้น คือ John J. McCloy รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสงครามของสหรัฐ ผู้ซึ่งเติบโตมากับภาพวาดของเมือง Rothenburg ob der Tauber บนผนังบ้าน เนื่องจากมารดาของเขาเคยมาเที่ยวที่นี่และซื้อภาพกลับไป McCloy ตระหนักถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และความงดงามของเมือง จึงสั่งยับยั้งไม่ให้กองทัพสหรัฐทิ้งระเบิดเมืองมรดกโลกแห่งนี้แล้วเปลี่ยนไปใช้วิธีเจรจากับทหารนาซีแทน หลังจากสงครามสงบ McCloy ยังช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ชาวเมือง ในการขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ระดมทุนเพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูเมืองส่วนที่เสียหายขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ไม่ไกลจากลานตลาดกลางเมืองเป็นที่ตั้งของ Käthe Wohlfahrt ร้านขายเครื่องตกแต่งสำหรับเทศกาลคริสต์มาส ที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในเยอรมัน มีสาขามากมายทั่วประเทศ ใหญ่จนมีชื่อเล่นว่า “หมู่บ้านคริสต์มาส” เลยทีเดียว
ช่วงสายของวันที่ 2 เราขับรถมุ่งหน้าต่อไปยังเมือง Dinkelsbühl เมืองกำแพงแห่งที่ 2 ของดินแดนนี้ และเช่นเดียวกับทุกเมืองยุคกลาง ที่นี่เต็มไปด้วยโบสถ์วิหารและบ้านไม้เก่าแก่สไตล์เยอรมันอายุหลายร้อยปี จนเราเริ่มจะแยกแต่ละเมืองออกจากกันไม่ออกเพราะดูเหมือนกันไปหมด
ที่เยอรมัน เราจะเห็นคำว่า Altstadt บ่อยมาก มีแทบทุกเมือง คำนี้แปลตรงตัวได้ว่า Old Town หรือ “เมืองเก่า” นั่นเอง คำว่าเก่าในที่นี้ ไม่ใช่เก่าระดับตลาดร้อยปีริมน้ำบ้านเรา แต่เก่าระดับศตวรรษ คือมีอายุหลัก 500-1,000 ปีขึ้นไปกันแทบทั้งนั้น โครงสร้างแต่ละเมืองก็คล้ายๆ กัน คือมีจัตุรัสอยู่ตรงกลางเมือง ซึ่งทำหน้าที่เป็นตลาดหลัก (Marktplatz คำนี้ก็มีทุกเมือง แปลเป็นอังกฤษคือ Market Place) และลานนั้นๆ มักจะมีโบสถ์หลัก (Kirche) หรือมหาวิหาร (Dom) ประจำเมืองตั้งอยู่ โครงสร้างเดียวกันทุกที่แม้แต่ในเมืองใหญ่อย่างมิวนิค แฟรงค์เฟิร์ต หรือโคโลญก็ตาม ทำให้การเที่ยวเมืองในเยอรมันค่อนข้างง่าย เพราะทุกอย่างจะกระจุกตัวกันอยู่บริเวณศูนย์กลางเมืองแทบทั้งนั้น
จาก Dinkelsbühl เราขับต่อลงมาทางใต้อีกประมาณ 30 กม.สู่จุดหมายที่สองของวัน Nördlingen อีกหนึ่งเมืองกำแพงแห่งยุคกลางที่สร้างอยู่บนหลุมอุกาบาต มีวิวเอกลักษณ์เป็นอาคารบ้านเรือนหลังคาสีส้มล้วน ที่อัดแน่นอยู่ในแนวกำแพงที่ล้อมเมืองอยู่เป็นวงกลม เหมาะมากสำหรับคนที่ชอบใช้ drone ถ่ายภาพมุมสูงทางอากาศ แต่หากใครไม่มี ก็สามารถขึ้นหอคอย Daniel ของโบสถ์ Saint George แลนด์มาร์กที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เพื่อชมทิวทัศน์ 360 องศาจากยอดหอแทนได้ ที่หอคอยแห่งนี้มี “ยามสังเกตการณ์” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สืบทอดมาหลายร้อยปียังคงทำหน้าที่อยู่ เป็นการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ของประเพณีดั้งเดิมไว้ ทุกๆ คืนพวกเขาจะเดินขึ้นบันได้ 350 ขั้นขึ้นไปเพื่อสอดส่องความเรียบร้อย แล้วตะโกนปากเปล่าส่งสัญญาณแจ้งไปที่กำแพงเมืองด้วยภาษาโบราณ
แต่ละเมืองที่เราเพิ่งไปเยี่ยมชม Rothenburg ob der Tauber, Dinkelsbühl และ Nördlingen คือเมืองกำแพงแห่งยุคกลาง 3 แห่งสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่ง Nördlingen เป็นเมืองที่สภาพกำแพงสมบูรณ์สวยงามที่สุด เชื่อว่าใครก็ตามที่เป็นแฟนอนิเมชั่นญี่ปุ่นเรื่อง Attack on Titan (進撃の巨人) ถ้าได้มาที่นี่คงอดคิดไม่ได้ว่าเมืองนี้น่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบฉากไม่มากก็น้อย เพราะขนาดสื่อญี่ปุ่นเองยังเคยทำสกู๊ปรายการโทรทัศน์เชื่อมโยงประเด็นนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง
Ausfahrt เป็นคำที่พบเห็นอยู่เรื่อยๆ บน autobahn เพราะคำนี้แปลว่า “ทางออก” ดังนั้นหากเดินทางมาใกล้ถึงเมืองจุดหมายแล้ว นอกจากควรจะมองหาป้ายชื่อเมืองแล้ว ยังควรมองหาป้าย Ausfahrt เอาไว้ด้วย
เรามาถึง Augsburg เมืองปลายทางของวันนี้ช่วงค่ำ จึงไม่มีโอกาสได้ไปเดินเล่นชมเมืองยามเย็นตามที่วางแผนไว้ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะการตะลุยเมืองเก่ามาตลอดทั้งวันทำให้เราชักจะเริ่มมึนกับสถาปัตยกรรมยุคกลางพอดี การเดินทางผ่านเมืองต่างๆ บนเส้นทางโรแมนติก ทำให้เราเห็นถึงอิทธิพลของคริสตจักรและจักรวรรดิโรมันต่อดินแดนของเยอรมันในอดีตได้เป็นอย่างดี เพราะแม้แต่ชื่อของเมือง Augsburg ยังตั้งขึ้นตามชื่อของจักรพรรดิออกัสตัส (Augustus) ผู้ซึ่งก่อตั้งเมืองนี้ขึ้นเมื่อ 15 ปีก่อนคริสตกาล ปัจจุบันเมือง Augsburg มีอายุ 2,030 ปี และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของแคว้นบาวาเรีย
ในวันที่ 3 ของการเดินทาง เราแวะเติมน้ำมัน เตรียมตัวออกจากเมือง Augsburg แต่เช้าเพื่อมุ่งหน้าไปปลายทางสุดท้ายบนเส้นทางโรแมนติก ปราสาทนอยชวานสไตน์ (Schloss Neuschwanstein) เช่นเดียวกับหลายๆ ชาติตะวันตก การเติมน้ำมันที่เยอรมนีเป็นระบบบริการตัวเองและระบบเชื่อใจ คือเติมเสร็จแล้วต้องเดินเข้าไปจ่ายเงินเองที่ร้านสะดวกซื้อ ซึ่งราคาที่เราเติมไปจะแสดงที่เคาน์เตอร์ในร้าน แนะนำว่าควรเติมน้ำมันก่อนออกจากตัวเมือง เพราะพอวิ่งเข้า autobahn ไปแล้วจะไม่ได้เจอปั๊มบ่อยนัก แต่หากต้องการแวะหยุดระหว่างทางจริงๆ ก็ให้มองหาป้ายที่เขียนว่า Rasthof ซึ่งหมายถึงจุดพักรถ ที่มักจะมีปั๊มน้ำมันและร้านขายอาหารอยู่ด้วย
ในช่วงปลายของเส้นทางสายโรแมนติก ทัศนียภาพสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนไปจากวันแรกๆ เนื่องจากเรากำลังเข้าสู่เขตเทือกเขาบาวาเรียนแอลป์ แนวภูเขายอดแหลมเริ่มโผล่ขึ้นมาเป็นฉากหลังของทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อน มีฝูงวัวยืนเล็มหญ้าอยู่ลิบๆ เราเริ่มเห็นพื้นที่ปศุสัตว์เพิ่มเข้ามาแทนที่พื้นที่การเกษตรที่เราเห็นมาตลอด 2 วันที่ผ่านมา ยิ่งลงใต้เรายิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศแถบนี้สดชื่นขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างทางเราพบจุดขายฟักทองเล็กๆ ให้อารมณ์คล้ายๆ กับเพิงขายของริมทางหลวงบ้านเรา ต่างกันตรงของที่นี่เป็นระบบไว้ใจ ใครอยากได้อะไรก็หยิบได้ตามสะดวกแล้วไปจ่ายกับเครื่องอัตโนมัติเอา แม้แต่แถบบ้านนอกยังเจริญ
ขับไปขับมา แหงนหน้าขึ้นมาเจอปราสาท Neuschwanstein แบบไม่รู้ตัว นั่นหมายความว่าเราได้มาถึงเมือง Hohenschwangau เมืองปราสาทจุดหมายปลายทางของทริปนี้แล้ว เมืองนี้ค่อนข้างพลุกพล่าน เนื่องจากเป็นจุดหมายในฝันของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่อยากมาชมปราสาทสุดโรแมนติกแห่งนี้ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะบรรยากาศของที่นี่งดงามราวกับเทพนิยายจริงๆ เราเคยคิดว่าสถานที่แบบนี้ดูแค่ในโปสการ์ดก็พอ เห็นรูปจากอินเตอร์เน็ตจนเบื่อแล้ว แต่การมาเห็นของจริงด้วยตามันให้ความรู้สึกที่เทียบไม่ได้กับการดูแค่รูปจริงๆ ยิ่งถ้าศึกษาประวัติ จะยิ่งทราบว่าปราสาทหลังนี้มีอะไรมากกว่าแค่ความสวยงาม
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปราสาท Neuschwanstein เกือบจะถูกทหารนาซีวางระเบิดทำลาย เนื่องจากที่นี่เป็นแหล่งซุกซ่อนผลงานศิลปะที่ฮิตเลอร์และกองทัพนาซีขโมยมาจากทั่วยุโรป เมื่อใกล้จะแพ้สงครามและกองทัพสัมพันธมิตรยกเข้ามาประชิดหมายจะทวงคืนงานศิลปะระดับโลกไปคืนให้กับเจ้าของ ฮิตเลอร์ได้สั่งให้ทหารระเบิดงานศิลปะทั้งหมดทิ้ง เพราะหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ยอมคืน แต่ในที่สุดฝ่ายทหารสัมพันธมิตรก็สามารถบุกยืดปราสาทและผลงานศิลปะประเมินค่าไม่ได้ทั้งหลายคืนมาได้ด้วยดี (ใครสนใจเรื่องราวส่วนนี้ แนะนำให้ไปดูภาพยนตร์เรื่อง The Monuments Men)
ความย้อนแย้งอย่างหนึ่งของปราสาทแห่งนี้ คือในขณะที่ตลอดเส้นทางสายโรแมนติก แต่ละเมืองล้วนแล้วแต่เก่าแก่มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี แต่ตัวปราสาท Neuschwanstein เพิ่งมีอายุเพียง 100 กว่าปีเท่านั้น และถึงแม้จะถูกเรียกขานว่า “ปราสาทดิสนีย์” หรือ “ปราสาทเทพนิยาย” แต่ที่นี่เพิ่งสร้างเสร็จก่อนวอล์ท ดิสนีย์เกิดเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นเอง
ในความเห็นของเรา ความมหัศจรรย์ของปราสาท Neuschwanstein ไม่ใช่ความงามทางสถาปัตยกรรมภายนอก แต่เป็นความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของพระเจ้าลุดวิกที่ 2 “กษัตริย์แห่งเทพนิยาย” ที่ก่อร่างสร้างจินตนาการของพระองค์ขึ้นมาจากความหลงใหลในศิลปะ กวี และตำนานปรัมปรา แต่ความมุ่งมั่นต่อปราสาทแห่งนี้ของพระองค์เข้าขั้นหมกมุ่น ถ้าให้ใช้ศัพท์สามัญสมัยใหม่ คงต้องเรียกว่า บียอนด์ความอินดี้ หรือ ติสท์แบบไม่แคร์โลก พระองค์ใช้เงินเกินตัว มีหนี้สินมากมาย จนในที่สุดมีปัญหากับรัฐบาลบาวาเรียถึงขั้นถูกถอดจากราชบัลลังก์ และสวรรคตในเวลาต่อมาไม่นาน อย่างไรก็ตาม ผลงานของพระองค์ ก็ได้กลายมาเป็นมรดกและสัญลักษณ์ของประเทศ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 1.4 ล้านคนต่อปี สร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาลให้กับเยอรมนี
Travel Tips #3
สิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตสามารถอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้เราได้มากมาย ผู้ถือบัตร Citi Prestige สามารถใช้บริการลีมูซีน รับ-ส่ง และบริการ Fast Track ได้ 2 ครั้งต่อปีทั่วเอเชียแปซิฟิก ไม่ต้องเหนื่อยลากกระเป๋าขึ้นรถไฟหรือรถบัสให้เมื่อยกันอีกต่อไป
สุนัขในประเทศเยอรมันสามารถไปได้แทบทุกที่ เราเห็นคนที่นี่พาสุนัขเข้าคาเฟ่ ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน หรือแม้แต่ขึ้นรถไฟไปพร้อมกับคน ตลอดทริปเยอรมันของเรา ที่เดียวที่เราพบว่าสุนัขเข้าไม่ได้ คือภายในปราสาท Neuschwanstein นั่นเอง ในภาพคือสุนัขที่เจ้าของพาขึ้นเขามาเดินเล่นถึงหน้าประตูปราสาท แม้ไม่ได้ใส่สายจูง แต่ก็อยู่ไม่ห่างเจ้านายและไม่ไปสร้างความเดือดร้อนรบกวนใคร มีวินัยดีสมกับที่อยู่เยอรมัน
ทริป Romantic Road ของเราจบลงที่เมือง Hohenschwangau กับภาพทิวทัศน์ชายแดนเยอรมัน-ออสเตรียที่งดงามจากระเบียงปราสาทแห่งเทพนิยาย Neuschwanstein ก่อนที่เราจะต้องมุ่งหน้าสู่มิวนิคต่อ ที่จริงแล้วบริเวณแถบเมือง Füssen เป็นสถานที่ที่เหมาะมากสำหรับนักเดินทางที่ชอบป่าไม้และธรรมชาติ ที่นี่มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ทั้งเดินป่า ปีนเขา ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำและล่องเรือทะเลสาบ หรือขึ้นไปชมทิวทัศน์บน Zugspitze ยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมนี น่าเสียดายที่เรามีอีกเป้าหมาย คือเทศกาล Oktoberfest ที่มิวนิค เราจึงต้องกลั้นใจบอกลาความงามของที่นี่
จนกว่าเราจะได้พบกันใหม่.. Auf Wiedersehen