SWITZERLAND: นั่งเที่ยว รถไฟ สวิตเซอร์แลนด์ บนเส้นทางมรดกโลกที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จัก
สวิตเซอร์แลนด์ คือ ประเทศที่เป็นจุดหมายในฝันของใครหลายคน บ้างอาจอยากเดินทาง ไปสัมผัสความงามทางธรรมชาติของเทือกเขา Alps บ้างอยากไปชื่นชมเมืองมรดกโลก ศึกษาวัฒนธรรม และ ประวัติศาสตร์ บ้างก็ไปเพื่อเล่นสกี หรือเพื่อซื้อช็อคโกแลต และ นาฬิกา แต่หนึ่งในกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด เมื่อเดินทางไปสวิส คือ การนั่ง รถไฟ
หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเส้นทาง รถไฟ สวิตเซอร์แลนด์ ที่มีชื่อเสียงอย่าง Glacier Express รถไฟความเร็วสูงที่วิ่งช้าที่สุดในโลก ที่วิ่งจากเมือง St. Moritz สู่เมือง Zermatt ผ่านเทือกเขา Swiss Alps และยอดเขา Matterhorn อันโด่งดัง ซึ่งรถไฟขบวนนี้ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อดักนักท่องเที่ยว และ มีราคาค่อนข้างสูง หากใครเป็นนักเดินทางกระเป๋าตุง แน่นอนว่าเส้นทางนี้ถือว่าตอบโจทย์ แต่หากใครไม่ได้สนใจกับความหรูหราของการนั่งรถไฟไปจิบไวน์ไป แต่กำลังมองหาประสบการณ์ที่แตกต่าง ทางภาคตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์ ยังมีเส้นทางรถไฟอีกเส้นหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจไม่แพ้กัน
เส้นทางรถไฟจากเมือง Thusis สู่เมือง Tirano สายนี้ ไม่ใช่เส้นทางที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เลือกใช้ เพราะมันไม่ได้มุ่งหน้าไปจุดหมายสุดฮิตอย่างยอดเขา Matterhorn แต่มันคือเส้นทางที่คนสวิสใช้เดินทางกัน และสามารถข้ามพรมแดนเข้าสู่ตอนเหนือของประเทศอิตาลีได้อีกด้วย ดังนั้น สำหรับใครที่อยากจะหลบลี้จากกลุ่มลูกทัวร์และนักท่องเที่ยว ประหยัดงบค่าเดินทาง หรือแม้แต่ต้องการท่องเที่ยวข้ามประเทศ การศึกษาข้อมูลของทางรถไฟสายนี้เอาไว้ เชื่อว่าไม่เสียเปล่าแน่ๆ
เส้นทางทางรถไฟความยาว 240 กิโลเมตร ที่วิ่งผ่านอุโมงค์ 84 แห่ง และข้ามสะพาน 383 แห่งสายนี้ เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทรถไฟสวิสที่ชื่อ Rhäetian Railway และ เป็น 1ใน 3 เส้นทางรถไฟที่ถูกบันทึกไว้ให้เป็นเส้นทางมรดกโลกของ UNESCO เลยทีเดียว และปีนี้ก็ถือเป็นปีครบรอบ 125 ปีของการก่อตั้งทางรถไฟสายนี้ด้วย การโดยสารรถไฟในเส้นทางนี้ สามารถทำได้ด้วยการขึ้นรถไฟสายปรกติ หรือจะขึ้นรถไฟสาย Bernina Express ก็ได้ โดยสามารถเดินทางได้ทั้งปี ในฤดูร้อน ผู้โดยสารจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าป่าเขาที่สวยสดงดงาม ส่วนในฤดูหนาว ก็จะสามารถชื่นชมความระยิบระยับของธารน้ำแข็งและภูเขาหิมะได้ตลอดเส้นทาง
Image Credit: Schwingeninswitzerland
Image Credit: Schwingeninswitzerland
เริ่มต้นการเดินทางจาก Thusis
ช่วงแรกของการเดินทาง เป็นการวิ่งขนาบทิวทัศน์สองข้างทางบนระยะทาง 60 กิโลเมตร ใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงซึ่งถือว่าไม่นานจนเกินไปสำหรับการนั่งรถไฟ ผู้โดยสารจะได้ลัดเลาะไปบนเส้นทางที่คดเคี้ยวและเพลิดเพลินไปกับภูมิประเทศที่งดงามของภูมิภาค Upper Engadin ที่มีทั้งทุ่งหญ้า ป่าไม้ น้ำตกสีฟ้าใส และปราสาทโบราณหลายหลัง ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาสุดตระการตา ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่งดงามเหนือกาลเวลา และให้ความรู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปในโลกอดีต
เมื่อรถไฟวิ่งผ่านเมือง Tiefencastel ไปได้ซักพัก ผู้โดยสารก็จะมาถึง Landwasser Viaduct (หนึ่งใน UNESCO’s World Heritage site ของเส้นทางนี้) สะพานรถไฟที่มีโครงสร้างแบบโค้ง (arch) ซึ่งถือเป็นสุดยอดของการออกแบบโครงสร้างทางรถไฟ ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยหินปูน (limestone) ทั้งหมด ในปี 1901 สะพานนี้มีความสูงจากพึ้น 65 เมตร ซึ่งหากมองลงไป ก็จะเห็นแม่น้ำ Landwasser ไหลผ่านอยู่เบื้องล่าง เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและน่าหวาดเสียวในเวลาเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาในการชื่นชมความงามของพื้นที่นี้นั้นสั้นมาก รถไฟจะใช้เวลาเพียง 45 วินาทีในการวิ่งผ่าน Landwasser Viaduct ก่อนที่จะนำผู้โดยสารเข้าสู่ความมืดของอุโมงค์ภูเขา
Image Credit: Akshay Subramanian
Image Credit: Rhäetian Railway
Image Credit: metrovick
ระหว่างทาง…
สำหรับใครที่ไม่อยากนั่งรถไฟยาวๆ อยากแวะพักค้างคืน ใช้เวลาสำรวจพื้นที่ เมืองละวันสองวัน สามารถเปลี่ยนรถไฟที่สถานีชุมทางเมือง St. Moritz เพื่อไปยังเขตอื่นรอบๆได้ อย่างเช่นเมือง Silvaplana เมืองติดทะเลสาบซึ่งอยู่ห่างออกมาทางตะวันตกของ St. Moritz เพียง 5 กิโลเมตร และยังอยู่ไม่ไกลเทือกเขา Corvatsch อีกด้วย เทือกเขานี้ มีความสูง 3,303 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าขึ้นไปได้ เหมาะสำหรับใครที่ชอบเล่น ski หรือ hiking หากใครวางแผนจะไป ควรเช็คข้อมูลเรื่องฤดูกาลจากเวบไซต์ของ Corvatsch Mountain เผื่อไว้ซักหน่อย จะได้เตรียมตัวให้เหมาะสมกับแต่ละสภาพอากาศ
เมือง St. Moritz (ด้านหน้า) / ทะเลสาบ Silvaplana (ด้านหลัง) (Image Credit: Biovit)
ส่วนสำหรับใครที่ชอบเที่ยวป่า ชื่นชมธรรมชาติและชีวิตสัตว์ ควรไปที่ Swiss National Park ซึ่งสามารถไปได้โดยการนั่งรถไฟสาย Engadin line จาก St. Moritz ไปที่เมือง Zernez ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในปี 2014 นี้ เป็นปีที่ Swiss National Park จะฉลองครบรอบ 100 ปี ซึ่งทำให้อุทยานแห่งนี้ นับเป็นอุทยานที่เก่าแก่สุดในเทือกเขา Apls เลยทีเดียว
อุทยานแห่งนี้ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติไว้อยู่มากโดยที่ไม่ได้บุกเบิกพัฒนาพื้นที่มากจนเกินไป เส้นทางเดินป่าก็พัฒนาแค่พอสมควร ทำให้การเดินป่าของที่นี่ ไม่รบกวนระบบนิเวศน์ของสัตว์ป่าในท้องที่นัก คนที่มา hikking ที่นี่ จะมีโอกาสได้เห็นตัว ไอเบ็กซ์, เลียงผา, มาเมิต, กระต่ายป่า, กิ้งก่า รวมไปถึงนกป่า และ ดอกไม้ป่ามากมาย นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นบ้านของสัตว์ป่าหลายชนิดที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ที่มีรายชื่ออยู่บน IUCN Red List เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่เหมาะแก่การมาเยือน สำหรับคนรักธรรมชาติอย่างแท้จริง
Image Credit: Robanhk
Image Credit: Roman Sandoz
Image Credit: Hotel Meisser
Image Credit: Lauren Grosberg
นอกจากสัตว์ป่าที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งสิ่งที่ใกล้จะสูญหายไปจากโลกนี้ นั้นคือภาษา Romansch ซึ่งเป็นภาษาที่คล้ายกับภาษาลาติน ที่มีต้นกำเนิดเก่าแก่มาจากรากภาษาโรมัน ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมานี้ ภาษา Romansch ค่อยๆสูญหายไปจากดินแดนนี้เนื่องด้วยการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ใครที่อยากฟังภาษานี้ (ซึ่งว่ากันว่า ฟังคล้ายๆกับภาษาอิตาเลี่ยนที่ถูกพูดโดยคนที่กิน peanut butter อยู่เต็มปาก) สามารถหาฟังได้ที่ Hotel Parc Naziunal II Fuorn ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ในอุทยานแห่งนี้ ตัวอาคารของโรงแรมนี้ ตั้งอยู่ที่นี่มายาวนานถึง 524 ปี ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าทิวทัศน์ของเทือกเขา Alps ในปัจุบันจะต่างจากในสมัยนั้นมากน้อยสักแค่ไหน
อีกหนึ่งเส้นทาง hiking ที่น่าลองของแถบนี้คือ Senda Val Müstair trail ที่มีระยะทาง 25 กิโลเมตร หากใครที่มีเวลาสัก 5-6 ชั่วโมง ก็สามารถเดินขึ้นเส้นทาง Ofenpass จะพาคุณไปยังหุบเขา Müstair หรือถ้าอยากสบายหน่อย ก็สามารถนั่งรถบัสไป 40 นาที แล้วเดินลงเฉพาะขากลับแทน เส้นทางเดิน Senda Val Müstair นี้ จะพานักเดินทางไปพบกับโบสถ์และบ้านเรือนต่างๆที่มีจิตรกรรมฝาผนังสี pastel รวมไปถึงซากโบราณวัตถุของเตาอบที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยยุคเหล็ก (Iron Age) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Ofenpass ที่หมายถึง Oven Pass หรือ เส้นทางเตาอบ นั่นเอง
หมู่บ้านในหุบเขา Müstair เป็นสถานที่ตั้งของคอนเวนต์ Benedictine Convent of St John ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพื้นที่มรดกโลกของ UNESCO ที่น่าไปเยี่ยมชม เพราะคอนเวนต์แห่งนี้ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 หรือกว่า 1,200 ปีมาแล้ว และยังมี Romanesque frescoes จิตรกรรมภาพบนผนังปูนปลาสเตอร์เปียกที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุดที่ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้จากสมัยยุคกลาง
Image Credit: Graubuenden.ch
จาก St. Moritz ข้ามชายแดนสู่ Tirano
60 กิโลเมตร กับ 2 ชั่วโมงครึ่ง บนเส้นทางที่คดเคี้ยวของรถไฟสาย Bernina line จะนำผู้โดยสารไปสู่หุบเขา Val Poschiavo เส้นทางรถไฟสายนี้ มีความสูงถึง 2,250เมตร ซึ่งทำให้มันเป็นเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป ระหว่างทางสายนี้ มีอีกเมืองที่น่าสนใจ คือเมือง Poschiavo ซึ่งมี Pizzoccheri (พาสต้าบัควีท) และ ขนมปังไรย์รส anise (anise-flavoured rye bread) เป็นอาหารท้องถิ่นขึ้นชื่อที่น่าลิ้มลอง
Image Credit: Treinreiziger.nl
Image Credit: Alain GAVILLET
Image Credit: jaeschol
ก่อนจะเข้าสู่อิตาลี มีอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของเส้นทางรถไฟสายนี้ ซึ่งก็คือสะพานที่มีชื่อว่า Brusio Spiral Viaduct สะพานวนโค้งที่ตั้งอยู่ระหว่าง เมือง Brusio และ เมือง Campascio โค้งของสะพานแห่งนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อลดความลาดชัน เพื่อให้รถไฟสามารถวิ่งได้โดยไม่ตกราง ซึ่งแน่นอนว่า ความพิเศษของมัน ทำให้สะพานแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกของ UNESCO บนเส้นทางรถไฟสายนี้
Image Credit: Rhäetian Railway
ความเปลี่ยนแปลงของทิวทัศน์ข้างทาง จะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อรถไฟได้ข้ามพรมแดนสวิสเข้าสู่อิตาลี หุบเขาที่เขียวขจี ยอดเขาขาวโพลนที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ จะเริ่มถูกทดแทนด้วยต้นปาล์ม ซากปรักหักพังของอาคารเก่า และร้านไอติมเจลาโต้ ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่แสดงให้ผู้โดยสารได้รับรู้ว่า รถไฟขบวนนี้ ได้พาผู้โดยสารเดินทางข้ามรอยต่อทางวัฒนธรรมมาแล้ว และสิ่งนี้เอง ที่ถือเป็นเสน่ห์ของการเดินทางข้ามประเทศโดยรถไฟ
Tips
การเดินทางด้วยรถไฟในสวิส ยังมีเส้นทางอื่นๆที่น่าสนใจให้เลือกอีกมากมาย ใครที่สนใจแนะนำให้ศึกษาข้อมูลของ Swiss Pass เพิ่มเติม เพราะนอกจากนั่งรถไฟได้ไม่อั้นตลอด 22 วันแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นบัตรผ่านเข้าพิพิธภัณฑ์ต่างๆในสวิสได้ถึง 470 แห่งด้วยกัน Swiss Pass มีจำหน่ายที่ SBB หรือตามสถานนีรถไฟในประเทศ Switzerland ส่วนใครที่ต้องการ upgrade ตั๋วเพื่อย้ายไปนั่งตู้ที่เป็น panoramic view ก็สามารถทำได้บนขบวนเลยในราคาเพียง 5 Swiss Francs
[hr align=”center” style=”dotted”]
Source: BBC, Rhäetian Railway
Main image credit: Swiss Railways
Feature image credit: Cristiano Secci