คุยกับ อามาร์ ลาลวานี่ ซีอีโอของโรงแรมที่คิดสวนทางกับคำว่า ‘มาตรฐาน’ อย่าง The Standard Hotels

ถ้าคุณเข้าเว็บไซต์ของ The Standard Hotels เป็นครั้งแรก แล้วเกิดสะดุดตาในสิ่งเดียวกับที่เราสังเกต คุณอาจจะทำสิ่งเดียวกันกับที่เราเคยทำ นั่นคือเปิดอีกแท็บหนึ่งขึ้นมา เพื่อพิมพ์ว่า “Why is The Standard Hotel’s logo upside down?” ลงในกูเกิ้ล

คำถามที่มาจากความสงสัยนี้พาเราไปสู่บทสัมภาษณ์ของ อามาร์ ลาลวานี่ (Amar Lalvani) ซีอีโอของเครือ Standard International ที่อธิบายความหมายของโลโก้กลับหัวไว้ว่า เป็นเพราะแทบทุกสิ่งที่โรงแรมในเครือนี้ทำสวนทางกับคำว่า ‘มาตรฐาน’ ที่เป็นแนวปฏิบัติของโรงแรมส่วนใหญ่ เพราะในขณะที่โรงแรมอื่นๆ เน้นให้ผู้เข้าพักได้ดื่มด่ำกับบริการที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย The Standard Hotel กลับสนุกกับการทำสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างเรื่องของวัฒนธรรม และออกแบบรายละเอียดต่างๆ ในโรงแรม เพื่อให้สามารถถ่ายทอดความหมายนี้ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา สร้างความหมายใหม่ของการพักผ่อนที่ทำให้แขกของโรงแรมได้สนุกกับประสบการณ์ใหม่ๆ ไปด้วยกัน

หนึ่งในผลลัพธ์ของความสนุกก็คือโปรเจกต์เจ๋งๆ อย่าง Standard Sounds ที่เปิดโอกาสให้ศิลปินได้ใช้พื้นที่ของโรงแรมในการสร้างสรรค์ผลงานออกมาเป็นวิดีโอซีรีส์ชื่อ Songs from a Room ที่คอเพลงแนวอิเล็กโทรนิกาบางคนน่าจะเคยผ่านตาวิดีโอที่ ออลลี อเล็กซานเดอร์ (Olly Alexander) นักร้องนำของวง Years & Years ร้องและเดี่ยวเปียโนเพลง Memo ในบาร์ชั้นบนสุดของ The Standard, High Line ในนิวยอร์ก ความแตกต่างที่ไม่ยึดติดกับคำว่า ‘มาตรฐาน’ ของ The Standard Hotel ทั้งห้าแห่ง ทำให้การพูดคุยกับลาลวานี่ในวันที่เขาเดินทางมาเมืองไทยนั้นมีอีกหลายคำถาม มากกว่าแค่ถามว่า ทำไมโลโก้ของโรงแรมถึงต้องกลับหัว

เรารู้จักโรงแรมของคุณเป็นครั้งแรกจากวิดีโอเมื่อ 2 ปีก่อนที่เป็นโปรเจกต์ที่คุณทำร่วมกับวง Years & Years ซึ่งถือเป็นศิลปินหน้าใหม่มากๆ ในตอนนั้น อยากให้ช่วยเล่าถึงการร่วมงานกับศิลปินต่างๆ ว่ามีที่มาอย่างไร

ผมเชื่อว่าโรงแรมในเครือของเราน่าจะเป็นโรงแรมที่ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของดนตรีมากกว่าที่อื่นๆ โดยเริ่มมาจากที่เรามีไนต์คลับชื่อ Le Bain อยู่ชั้นบนสุดของ The Standard, High Line ซึ่งเป็นที่ที่ทำให้เรามีคอนเน็กชั่นกับดีเจจากหลายๆ ประเทศ บนชั้นเดียวกันนี้ เรายังมีอีกส่วนที่เรียกว่า Boom Boom Room ซึ่งเราจะเน้นเพลงแนวแจ๊ซจากศิลปินที่เราคัดมาแล้ว เมื่อสัปดาห์ก่อน มารายห์ แครีย์ ก็เพิ่งมาร้องเพลงที่นี่ในปาร์ตี้วันเกิดของ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ด้วย

ในขณะที่ถ้าเป็น The Standard, East Village เราจะเน้นศิลปินอิสระหน้าใหม่ ให้เขาได้มีพื้นที่ในการแสดงฝีมือ ส่วนที่ The Standard, Hollywood จะมีอีเวนท์ซีรีส์ที่เราตั้งชื่อว่า Desert Nights ศิลปินที่มาเล่นก็จะเป็นสไตล์อะคูสติก เป็นแนวนักร้อง-นักแต่งเพลง นอกจากนี้ เรายังมีบริษัทลูกที่เท็กซัสชื่อ Bunkhouse ซึ่งนอกจากจะบริหารจัดการโรงแรมที่นั่นของเราแล้ว ยังจัดเทศกาลดนตรีที่เมืองมาร์ฟา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของเท็กซัส เป็นประจำทุกปีด้วย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เรามีคอนเน็กชั่นกับศิลปินหลากหลายแนว และสามารถชวนพวกเขามาทำอะไรพิเศษๆ ในโรงแรมของเราได้ เราสนุกกับการชวนคนมาทำอะไรแบบนี้ เพราะเรารู้ว่ามันช่วยให้งานของเขาออกมาดูดี ส่วนโรงแรมเราก็ดูน่าสนใจ เรายังมีนิตยสารของเราที่ชื่อ Standard Culture และมีคอนเทนต์บนเว็บไซต์ด้วย เราก็สามารถสัมภาษณ์และเขียนถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพื่อให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนอ่านและคนที่มาพักกับเราสามารถเข้าถึงประสบการณ์พวกนี้ได้

ทั้งหมดที่เราทำนี่ไม่ได้ทำไปเพื่อตัวเลข แต่เราทำเพราะมันคือความเป็นเรา คือส่วนหนึ่งความเป็น The Standard Hotels โปรเจกต์เกี่ยวกับเรื่องดนตรีต่างๆ ที่เล่าให้ฟังนี่เราไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายกับศิลปินคนไหนเลย เราทำเพราะความชอบ และเราเชื่อว่าถ้าเราชอบ แขกของเราก็น่าจะชอบเหมือนกัน แล้วถ้าเขาชอบ เขาก็จะนึกถึงแบรนด์ของเราเอง

โรงแรมในเครือของคุณทั้งหมด 5 แห่ง รวมถึงแห่งที่ 6 ในลอนดอนที่กำลังจะเปิดในปีหน้า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการรีโนเวทตึกเก่าเป็นส่วนใหญ่ แทนที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ อะไรคือเกณฑ์ในการเลือกสถานที่และทำเลของคุณ

ในเครือ The Standard Hotels มีแค่ The Standard, High Line เท่านั้นที่เป็นตึกสร้างใหม่ นอกนั้นเป็นการรีโนเวทอาคารเก่าทั้งหมด นั่นเป็นเพราะเราเริ่มต้นจากการเลือกตึกที่คนไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับมันอีกต่อไป แต่เรามองเห็นไปไกลกว่านั้น อย่าง The Standard, Hollywood และ The Standard, Miami ก็เคยเป็นบ้านพักคนชรามาก่อน The Standard, Downtown LA เคยเป็นตึกออฟฟิศ ส่วน The Standard, East Village เป็นโรงแรมที่เจ๊งมาก่อน แม้แต่ The Standard, London โรงแรมล่าสุดของเราที่ตั้งอยู่บริเวณ King’s Cross ก็ยังสร้างจากตึกสภาเทศบาลเก่าที่สร้างขึ้นในปี 1974


ส่วนเรื่องการเลือกทำเล ทำเลที่เราชอบมักจะเป็นที่ที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงและคาดการณ์ได้ว่า จะต้องมีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แทนที่จะเลือกย่านที่ทุกอย่างค่อนข้างลงตัวหมดแล้ว เพราะเราอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ในย่านนั้นๆ เราชอบที่จะเริ่มต้นในที่ที่ยังอาจจะไม่ได้มีอะไรมาก แล้วก็ค่อยๆ มีความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นรอบๆ เพราะเรามองไปที่อนาคตของย่านนั้นมากกว่า

ยกตัวอย่างย่าน Meatpacking ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นที่ตั้งของ The Standard, High Line ตอนที่เราเริ่มต้นในย่านนี้ใหม่ๆ นี่ไม่ใช่แบบนี้เลย แต่ตอนนี้มีทั้งโชว์รูมของ Tesla และ Whitney Museum of American Art หรืออย่างโปรเจกต์ใหม่ของเราในลอนดอน หลายคนบอกว่า King’s Cross เป็นย่านที่ไม่น่าจะเหมาะ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้แถวนั้นมีออฟฟิศใหญ่ในยุโรปของ Google ห่างไป 2 บล็อก สถานี King’s Cross เองก็เป็นชานชาลาของรถไฟ Eurostar แล้วก็เป็นย่านที่มีประวัติยาวนานในเรื่องของดนตรี เป็นอีกหนึ่งทำเลที่เราคิดว่าเยี่ยมมาก

ในบรรดาโรงแรมในเครือ ณ ปัจจุบัน มีที่ไหนที่เรียกได้ว่าเป็นโลเกชั่นโปรดของคุณ

The Standard, Miami เพราะผมใช้ชีวิตในนิวยอร์กและแต่ละวันก็มีเรื่องที่ต้องทำเยอะมาก เพราะฉะนั้นเวลาไปที่ไมอามีก็จะรู้สึกรีแลกซ์และชิลล์ได้ ก็เลยชอบไมอามีด้วยเหตุผลนี้ แต่จริงๆ แล้วแต่ละแห่งก็มีเรื่องที่ชอบทั้งนั้น

อย่างที่ The Standard, High Line ก็เจ๋งตรงที่มันเป็นเหมือนโรงงานผลิตความบันเทิงสารพัดรูปแบบที่มาพร้อมกับบริการชั้นดีด้วย คุณจะนั่งกินเบียร์แกล้มเพรทเซลในเบียร์การ์เดน หรือจะสั่งค็อกเทลหรูไปจิบในห้องพักก็ทำได้หมด ส่วน The Standard, East Village ก็ทำให้รู้สึกใกล้ชิดและเป็นกันเองด้วยโลเกชั่นอยู่แล้ว สำหรับ The Standard, Hollywood นั่นก็ชอบเพราะเป็นที่ที่มีเรื่องราว เป็นจุดเริ่มต้นของเรา ขณะที่ The Standard, Downtown LA นี่วิวจากดาดฟ้าก็สวยมาก เพราะฉะนั้นถ้าจะว่าไป ทุกที่ก็มีเรื่องให้ชอบเป็นพิเศษทั้งนั้น ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป

สมมติว่าถ้าเราได้ไปพักที่ The Standard, High Line คุณจะมีคำแนะนำในการใช้เวลาใน 1 วันของเราอย่างไร

ความพิเศษอย่างหนึ่งของการพักที่นั่นก็คือเรื่องของโลเกชั่นที่อยู่ตรง High Line พอดี คุณสามารถเดินเล่นใน High Line และดูวิวนิวยอร์กไปเรื่อยๆ ได้เกือบ 20 บล็อก หลังจากเดินใน High Line จนพอแล้ว ก็อาจจะต่อด้วยการเดินดูงานศิลปะในแกลเลอรีที่เชลซี ซึ่งเรียกว่าเป็น gallery district ของนิวยอร์ก เสร็จจากนั้นก็ถึงคิว Whitney Museum ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมของเราเลย จบจากพิพิธภัณฑ์นี้ คุณอาจจะเดินไปที่ West Village เพื่อช้อปปิ้ง แล้วค่อยกลับมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่โรงแรม ก่อนจะทานอาหารเย็นที่ The Standard Grill แล้วค่อยปาร์ตี้ในบาร์ของเราจนถึงตีสี่ก็ได้

คุณมาเมืองไทยครั้งนี้เพื่อแถลงข่าวเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ที่ทำร่วมกับแสนสิริ อยากให้ช่วยเล่าให้เราฟังถึงการจับมือกันครั้งนี้

จริงๆ แล้วผมรู้จักแสนสิริมาเกือบ 20 ปีแล้ว เพราะผมเคยอยู่ในเมืองไทยมาก่อน แล้วก็พักอยู่แถวซอยร่วมฤดีอยู่ 2 ปี ตอนนั้นผมทำงานให้กับบริษัทเงินทุนของอเมริกาที่มีออฟฟิศในเมืองไทย ซึ่งหลังจากช่วงวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ บริษัทที่ผมทำให้งานให้ก็เลือกลงทุนกับแสนสิริ เพราะฉะนั้นแสนสิริจึงเป็นบริษัทที่ผมรู้จักมานานและเห็นพัฒนาการของบริษัทมาโดยตลอด ทางแสนสิริเองก็รู้ว่าผมทำอะไรมาบ้างและกำลังทำอะไรอยู่ เราเลยเห็นโอกาสในการทำงานร่วมกัน ซึ่งผมรู้ว่าในภูมิภาคนี้ที่หลายๆ สิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่น่าสนใจอย่างรวดเร็ว

การจะทำอะไรสักอย่างให้มันเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างต้องอาศัยพาร์ทเนอร์ที่ดีด้วย อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราเองมีแพลนที่จะทำโปรเจกต์ The Standard Residence ซึ่งมันน่าสนุกตรงที่เราจะนำประสบการณ์ที่มีสีสันแบบเดียวกับในโรงแรมมาเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ที่อยู่อาศัยด้วย ซึ่งแสนสิริก็เหมาะตรงที่ทางเขาเองก็เห็นความสำคัญของเรื่องนี้และเริ่มต้นกับบางโครงการไปแล้ว ซึ่งเรามองว่า The Standard Hotels จะช่วยเสริมให้ดียิ่งขึ้นได้ในโปรเจกต์ต่อๆ ไป ก็เลยถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ทำอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจไปด้วยกัน

ทั้งโรงแรมที่สร้างความหมายใหม่ของวัฒนธรรมในการพักผ่อนและโปรเจกต์ใหม่ๆ ในอนาคตที่จะยิ่งสร้างความแตกต่างให้กับ The Standard Hotels อยากทราบว่าอะไรคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจของคุณ

ในธุรกิจโรงแรม คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ให้น้ำหนักกับเรื่องดนตรี วัฒนธรรม ศิลปะ และแฟชั่นเหมือนอย่างเรา ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแตกต่างก็คือคนที่ทำงานกับเรา ผมคิดว่าคนเหล่านี้ถ้าเขาไม่ทำงานกับเรา เขาก็คงไม่ทำงานให้กับโรงแรมอื่น เขาเลือกทำงานกับเราไม่ใช่เพราะว่าเราคือโรงแรม แต่เพราะเราคือ The Standard เพราะฉะนั้นถ้าเราเลือกทำงานกับคนที่แตกต่าง ก็จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้โรงแรมของเรามีความหมายมากกว่าการเป็นโรงแรมที่ให้คนมาพัก

Spends most of her time juggling among different things: working as an independent editor/writer for various medias in Thailand, freelancing for publications/websites in the U.S., playing with kindergarten kids, and having ice cream without telling her mom. Likes traveling almost as much as taking a nap.

Magazine made for you.