10 ก้าวแห่งการเดินทางของ ปั้น The Walking Backpack

“ชีวิตคือการเดินทาง” และแต่ละก้าวที่พาเราไปข้างหน้า ไม่ว่าจะก้าวเล็ก หรือ ก้าวใหญ่ ก็ล้วนแล้วแต่ เป็นประสบการณ์ที่มีความสำคัญ หลายคนอาจจะคุ้นหูกับชื่อของคุณ “ปั้น” จิรภัทร พัวพิพัฒน์ หรือหนุ่มแบ็คแพ็คเกอร์เจ้าของเพจ The Walking Backpack ผู้แบกเป้เที่ยวคนเดียวไปทั่วโลก จนโด่งดังกันอยู่แล้ว จากก้าวเล็กๆ ที่เขาตัดสินใจออกเดินทางคนเดียว เมื่อ 3 ปีก่อน จนถึงวันนี้ ที่คุณปั้นได้ก้าวเดินผ่านประสบการณ์ ระหว่างทางมามากมาย และได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ให้คนที่รักการเดินทาง เตรียมคว้ารองเท้าออกไปเดินสู่โลกกว้างบ้าง

เราได้มีโอกาสพุดคุยกับคุณปั้น หลังจากเพิ่งกลับมาจากการเดินทางครั้งล่าสุดที่เขาไป trekking ที่ MacRitchie Nature trail ประเทศสิงคโปร์ เกี่ยวกับเส้นทางชีวิตในฐานะนักเดินทางที่ผ่านมา มาลองตามรอยเท้าคุณปั้นกันดูว่า แต่ละก้าวของ The Walking Backpack ลุยเดี่ยวไปเจออะไรมาบ้าง แล้วคุณปั้นกำลังจะเดินต่อไปที่ไหนหลังจากนี้?

Walking Backpack

ในทริป MacRitchie Nature trail ครั้งนี้คุณปั้นออกเดินทาง trekking ด้วยรองเท้า ECCO Yura

ก้าวที่ 1: ก้าวแรก (ออกจากบ้าน)

ด้วยความที่ผมเป็นเด็กผู้ชาย เวลาจะไปไหนผมก็จะง่ายๆ อะไรก็ได้ไม่ค่อยคิดมาก เวลาจัดกระเป๋า ก็จะเน้นแต่ของจำเป็น พวกของที่ซื้อได้ทั่วไปผมจะไปหาเอาข้างหน้าตลอด โดยเฉพาะในประเทศที่ไม่แพง หลักๆ ของที่ผมต้องมีติดตัวเสมอคือ รองเท้า 2 คู่ เดินป่าคู่นึง แตะคู่นึง (การเลือกรองเท้าต้องดูสภาพภูมิประเทศแต่ละที่ด้วย) เสื้อผ้า 5-6 ชุด ของใช้ส่วนตัวเล็กน้อย หนังสืออ่านเล่นระหว่างทาง คอมพิวเตอร์ ที่เยอะหน่อยจะเป็นกล้องถ่ายรูป กับอุปกรณ์ โดยที่ทั้งหมดจะพยายามไม่ให้น้ำหนักเกิน 12 กิโลกรัม นอกจากนี้คือผมจะหาข้อมูลสถานที่ ให้ได้เยอะที่สุด ก่อนเดินทางผมจะอ่านเยอะมาก ที่ไหนน่าไป อะไรน่ากิน เที่ยวอย่างไรได้บ้าง แต่ที่อ่านเยอะที่สุด คือประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ผมจะอยากรู้ว่าประเทศนี้มีประชากรกี่แสนกี่ล้านคน พูดกี่ภาษา มีประวัติศาสตร์อะไรน่าสนใจบ้าง ส่วนเรื่องที่ผมอ่านน้อยที่สุดคือเรื่องการจัดกระเป๋า เพราะผมมักจะไปหาเอาข้างหน้าตลอด

Walking Backpack

ก้าวที่ 2: ก้าวสู่โลกกว้าง

ความแตกต่างทางวัฒนธรรม และ วิถีชีวิตของผู้คน เป็นสิ่งที่ผมสนใจที่สุด ถ้าเปรียบเทียบตอนผมไปญี่ปุ่นกับอินเดีย ผมก็จะเห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะที่แตกต่างกันที่น่าสนใจมากๆ เช่น ชาวญี่ปุ่นอยู่ในกฏระเบียบราวกับหุ่นยนต์ แต่งตัวเหมือนกัน เดินเหมือนกัน ทำทุกอย่างรวดเร็ว คนมีมารยาทกันมาก ในขณะที่ความเป็นมิตร อาจจะไม่ได้มากตาม ผู้คนไม่ค่อยสนใจกัน ในขณะที่อินเดียนั้นไร้ซึ่งกฏระเบียบ ไฟเขียวไฟแดงไม่มีอยู่จริง วัวควายออกมาเดินถ่ายอุจจาระตามถนนได้ มันก็ทำให้เราสนใจต่อ ว่าทำไมคนชาตินี้เป็นอย่างนั้น คนชาตินั้นเป็นอย่างนี้ ทำไมที่อินเดียเขาปล่อยวัวเดินกันในเมือง – เขานับถือศาสนาอะไรกัน – การเมืองเป็นอย่างไร มีปัญหากับประเทศอะไรบ้าง – ทำไมชายแดนฝั่งปากีสถานถึงปิด – 2 ประเทศนี้เคยทำสงครามกันเพราะอะไร คำถามต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นต่อเนื่องตามมา ทำให้ผมได้ค้นหาแล้วก็เรียนรู้เพิ่มขึ้นตลอดการเดินทาง

IMG_9721

ก้าวที่ 3: ก้าวอย่างลำพัง

ผมรู้สึกว่าคนไทยเราเกิดมาในสังคมที่อยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่ ห้อมล้อมด้วยคนรอบข้างมากมาย ไม่ว่าจะเพื่อน พี่น้อง ครอบครัว เวลาไปไหนเราก็ชินที่จะไปกับคนอื่น อย่างเช่น คนไทยเราไม่ค่อยทานข้าวคนเดียว ใครไปดูหนังคนเดียว ก็ต้องโดนทักว่าอกหัก หรือเลิกกับแฟนมาแน่ๆ การทำอะไรคนเดียวจึงอาจจะดูผิดปรกติสำหรับบางคน มันเป็นค่านิยมของคนบ้านเรา ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ผมจะค่อนข้างชินกับการอยู่คนเดียว

ครั้งแรกที่ผมเดินทางคนเดียว ตอนนั้นผมแค่อยากไปดำน้ำ แต่ไม่มีเพื่อนไปด้วย เบื่อมาก ก็เลยลองดู ไปเที่ยวคนเดียวซัก 2-3 วันที่เกาะ Tioman ประเทศมาเลเซีย คิดว่าถ้าไม่ดีอย่างมากก็แค่กลับ ที่นั่นผมได้เจอ กับเพื่อนร่วมทาง ที่ทำให้ผมได้รู้ว่าการแบ็คแพ็คมันไม่ได้เกี่ยวกับการแบกเป้ใบใหญ่ๆ พักที่ถูกๆ ปาร์ตี้เมาๆ แต่มันคือการได้เปิดโลก ได้รู้จักผู้คนใหม่ๆ เพราะการเดินทางคนเดียวมันจะบังคับให้เราต้องพูดคุยกับคนอื่น ไม่อย่างนั้นเราก็จะไม่มีใครคุยด้วย ซึ่งก็ทำให้เราได้รู้เรื่องราวจริงๆ ใหม่ๆ จากคนที่หลากหลาย อีกประเด็นคือความสะดวก การเดินทางคนเดียวมันอิสระ ไม่ต้องมีตารางที่ชัดเจน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเรา สำหรับผมมันไม่มีคำว่าเหงา เพราะพวกที่เดินทางคนเดียว มันก็จะพักที่แบบเดียวๆ กัน มันก็จะไปเจอกันตาม hostel บ้าง ระหว่างทางบ้าง เรียกว่าได้เพื่อนใหม่ๆ ไปตลอดทาง

walking backpack

ECCO Yura มีคุณสมบัติกันน้ำด้วยเส้นใย GORE-TEX® ช่วยให้แห้งเร็ว ไม่ต้องกังวลกับสภาพพื้นที่ความชื้นสูง

IMG_9532

ก้าวที่ 4: ก้าวไปด้วยกัน

ในหมู่เพื่อนร่วมทางที่ผมได้เจอะเจอมา มีอยู่ 2 คนที่ผมประทับใจเป็นพิเศษ คนแรกเป็นผู้ชาย ชื่อคริส ซึ่งผมได้รู้จักตอนที่ไปเกาะ Tioman ที่มาเลเซียในการเดินทางคนเดียวครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นยังเอ๋อๆ อยู่ คริสเป็นชาวอังกฤษ อายุประมาณ 30 ปี เคยเป็นนายธนาคารได้เงินเดือนเยอะมาก แล้วปี 2008 เศรษฐกิจพัง คริสก็โดนให้ออกจากงาน หลังจากนั้นเขาเลยตัดสินใจว่าแทนที่จะใช้เงินเก็บไปซื้อรถสปอร์ต ซึ่งคงจอดมากกว่าขับ เขาจะเอาเงินไปเดินทางรอบโลกแทน

ตอนที่ผมเจอคริส เขาเดินทางมาประมาณ 8 เดือนแล้ว คริสเล่าให้ผมฟังว่าการเที่ยวคนเดียวมันต้องทำยังไงบ้าง พักที่ไหน ใช้เงินยังไง ซึ่งทำให้ผมทึ่งมาก คริสถือเป็นคนที่เปิดโลกการเดินทางให้กับผม ที่ไหนที่ฟังดูยากๆ คริสไปมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะ เกาะอิสเตอร์ นิคารากัว หรือแม้แต่ไปฝึกวิชากับพระวัดเส้นหลิน ผมเคยเชื่อว่าการเดินทางรอบโลกเป็นงานอดิเรกของคนรวย แต่คริสทำให้มุมมองผมเปลี่ยนไป คริสเหมือนคนบ้า เขานั่งรถบัสจากปักกิ่งลงมามาเลย์เซียโดยใช้เวลา 4 เดือนแบบที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน เขาก็จะพยายามเรียนรู้วัฒนธรรม อย่างตอนอยู่จีนเขาก็หัดพูดจีน กินของท้องถิ่น เรียกได้ว่าคริสเป็นคนจุดประกาย ให้แรงบันดาลใจกับผม ผมตั้งเป้าว่าาถ้าผมทำได้ซักครึ่งนึงของคริสได้ก็พอใจแล้ว

อีกคนเป็นสาวฝรั่งเศส ที่ผมได้เจอตอนเที่ยวอยู่ที่ทะเลบาหลี ตอนนั้นเป็นช่วงที่มีเวลาเยอะ อยู่หลายวันไม่ได้ทำอะไรมาก ก็เลยมีโอกาสได้พูดคุยทำความรู้จักกัน เป็นช่วงเวลาที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เราได้สนิทสนมกับคนคนนึงระหว่างเดินทาง แล้วด้วยความที่เราก็รู้ว่าอีกไม่กี่วัน ทุกคนก็ต้องเดินทางแยกย้าย จากกันไปคนละทาง และจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ก็เลยทำให้มันไม่ต้องมีความเขิน จะชวนไปทานข้าวก็ชวนเลย ไม่ต้องมายากกันให้เสียเวลา ชาวฝรั่งเศสจะมีเอกลักษณ์ของเขา อย่างทานข้าวเสร็จก็จะต้องจิบไวน์ เจอหน้ากันก็จะหอมแก้มทักทาย เวลาพูดภาษาอังกฤษก็จะมีสำเนียงน่ารักๆ เฉพาะตัว ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ผมประทับใจมากๆ ถ้าไม่ได้ออกไปเดินทางคนเดียวคงไม่ได้เจอ

IMG_9906

ก้าวที่ 5: ก้าวแห่งความทรงจำ

ผมจะชอบแต่ละสถานที่ในมุมที่แตกต่างกันไป แต่ที่ไปแล้วประทับใจมากที่สุดคือเมืองเลห์ ลาดัก ทางตอนเหนือสุดของอินเดีย ติดอยู่กับชายแดนประเทศจีน ปีๆ นึงที่นี่จะเปิดให้เที่ยวแค่ 4 เดือน เพราะฤดูหนาวจะหนาวมาก อุณหภูมิ -20°c หิมะตกเป็นฟุตๆ สิ่งที่ผมชอบมากๆ คือธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวเราทุกทิศทาง เปิดประตูบ้านมาเจอภูเขาหิมะแบบสวิตเซอร์แลนด์ ออกจากเมืองมาหน่อยเดียวเห็นเทือกเขาน้ำแข็ง ภูมิประเทศที่นี่จะเป็นดินแห้งๆ เวิ้งว้างเหมือนเดินอยู่ใน Star Wars เลยทีเดียว สวยมากๆ ทุกอย่างถูกมาก เช่าจักรยาน 300 บาทขี่ได้ทั้งวัน ถนนที่สูงที่สุดในโลก 3 อันดับแรกก็อยู่ในระยะ 40 กม. จากเมืองเลห์ สามารถปั่นไปได้ถ้าใครฟิต หรือจะเช่ามอเตอร์ไซค์ก็ได้ อยากจะล่องแก่งก็ได้ เดินป่าก็มี จะ 5 วัน 7 วันก็เลือกได้ หรือจะปีนพิชิตยอดเขาก็ได้เหมือนกัน เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติและกิจกรรมกลางแจ้งมากๆ ผมอาจจะเคยบ่น ประเทศอินเดียเอาไว้เยอะ แต่สำหรับที่เลห์นี่ถือว่าเป็นที่สุดจริงๆ

IMG_9577-2

ก้าวที่ 6: ก้าวออกนอกเส้นทาง

เวลาเดินทางผมไม่เคยจองที่พัก จะจองแค่เฉพาะคืนแรกในเมืองที่เราตั้งต้นทริปเท่านั้น ที่เหลือส่วนใหญ่จะไปเดินหาเอาข้างหน้า แผนจะมีอยู่คร่าวๆ เผื่อไว้ให้เปลี่ยนแปลงได้ ครั้งที่ผมเปลี่ยนแผนกะทันหันที่สุด คือตอนที่ผมไปไต้หวัน ผมนั่งรถเที่ยวไปถึงเมืองจิวเฟิน (Jiufen) ซึ่งเป็นเมืองที่เป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่อง Spirited Away ที่มีบ้านเรือนอยู่ตามภูเขา มีโคมแดงห้อยประดับสวยงามมาก อาหารอร่อยมากด้วย ตอนนั้นกว่าผมจะไปถึงก็ 5 โมงเย็นแล้ว แต่เกิดประทับใจในความงามจนเดินเที่ยวเพลินถึง 3 ทุ่ม กว่าจะรู้ตัวรถไฟกลับไทเปก็แทบจะไม่เหลือแล้ว ที่พักในจิวเฟินก็ยังไม่มี ผมก็เลยเดินหาที่พักจนไปเจอนักท่องเที่ยวคนนึง เลยถามเขาว่ามีที่ไหนแนะนำบ้างไหม นักท่องเที่ยวคนนั้นเลยจูงมือพาผมไปที่พักของเขา แนะนำให้ผมคุยกับคุณป้าเจ้าของที่พัก สอบถามราคาได้ความว่าคืนละ 400 บาท ผมจึงตัดสินใจพักที่นั่นทันที แล้วบังเอิญว่าที่นี่วิวดีมากๆ วันรุ่งขึ้นผมตื่นมานั่งดื่มกาแฟอยู่บนดาดฟ้าโรงแรมป้าตั้งแต่ 6 โมงกว่ายัน 8 โมงครึ่งไม่ลงมาเลย ถือเป็น happy accident ที่ผมได้บังเอิญมาเจอของดีโดยไม่ได้ตั้งใจ เหนือความคาดหมายและนอกแผนสุดๆ ที่จริงถ้าคืนนั้นไม่ได้โรงแรมป้าผมอาจจะต้องนอนข้างถนนไปแล้วก็ได้

IMG_9640-2

ก้าวที่ 7: ก้าวที่พลาด

ปัญหาระหว่างการเดินทางเกิดขึ้นได้ตลอด แต่ครั้งที่คิดว่าซวยที่สุด ที่หนักที่สุด คือ ตอนที่ผมเดินทางรอบยุโรป 2 เดือน ตอนนั้นเป็นช่วงที่ไปบาร์เซโลน่า ซึ่งกว่ารถไฟจะมาถึงเมืองก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มกว่า แล้วพอผมลงรถไฟปุ๊ป ผมก็หาโทรศัพท์ไม่เจอ คิดว่าคงโดนคนล้วงระหว่างทางบนรถไฟตอนไม่รู้ตัว ที่ซวยคือผมเซฟรูปแผนที่และตำแหน่งของโฮสเทลไว้บนโทรศัพท์ทั้งหมด จำได้แค่อยู่ใกล้สถานีไหน ส่วนถนนอะไร ซอยอะไรผมจำไม่ได้เลย ผมก็นั่งรถไฟไปสถานีนั้นเพื่อไปเดินหาโฮสเทลนี้ ตอนนั้นเที่ยงคืนแล้ว เดินหาอยู่คนเดียวในความมืดครึ่งค่อนชั่วโมงก็หาไม่เจอ สะพายเป้ยืนอยู่คนเดียวเปลี่ยวๆ ก็กลัวจะมีคนมาปล้น ผมจึงตัดสินใจเดินไปที่หน้าบาร์แห่งหนึ่ง เพื่อขอความช่วยเหลือ ยืมโทรศัพท์เพื่อเสิร์ชหาข้อมูล เจ้าของบาร์ก็ใจดีเดินออกมาช่วย ให้ยืมโทรศัพท์ไม่พอ ยังพาผมเดินไปจนเจอที่พัก ส่งผมจนถึงหน้าประตู ทำให้ผมรู้สึกตื้นตันมากขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ จากนั้นผมก็เข้าไปเช็คอินในโฮสเทล แล้วพบว่าผมจองวันผิดไปวันนึง ณ เวลาตี 2 ตอนนั้นทุกห้องในโฮสเทลถูกจองเต็มจนหมดแล้ว ผมหมดหนทางต้องขอร้องเจ้าหน้าที่โฮสเทลว่าขอที่ให้ผมนอนเถอะ เจ้าหน้าที่เลยเห็นใจ อนุญาตให้ผมนอนบนพื้นโรงอาหารได้ ถือเป็นจุดตกต่ำลำบากที่สุดเท่าที่เดินทางมาก็ว่าได้ โทรศัพท์ก็ต้องซื้อใหม่ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่า ต่อให้เราจะซวยขนาดไหน วันรุ่งขึ้นอะไรๆ ก็จะโอเคขึ้นเอง

IMG_9777

ECCO Yura ออกแบบมาเพื่อช่วยให้การปีนเขามีความคล่องตัว และยังช่วยให้ฟื้นตัวหลังการปีนได้เร็วอีกด้วย

ก้าวที่ 8: ก้าวที่อันตราย

มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเดินทางไปภูเขาไฟเมราปี (Merapi) ที่เกาะชวา อินโดนีเซีย ชื่อเสียงของที่นี่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้น่ากลัว แต่วันนั้นเดินๆ ไปแล้วผมรู้สึกเลยว่า ผมอาจจะไม่เหลือแรงเดินกลับก็ได้ คืนนั้นเราเริ่มเดินกันตั้งแต่ 5 ทุ่ม ขึ้นเขาที่ไม่มีต้นไม้เลย เป็นเขาโกร๋นๆ คงเพราะลาวาและการระเบิดของภูเขาไฟที่ทำให้ต้นไม้ตายหมดไปนานแล้ว ยิ่งดึกยิ่งขึ้นไปสูงผมยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ จนตัวสั่น ข้าวก็ไม่ได้กินมา เพราะตอนเริ่มเดินก็ดึกมากแล้ว จนมาถึงช่วง 50 เมตรสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงที่ยากที่สุด ชันมากๆ น่าจะประมาณ 60 องศาได้ แรงผมแทบจะไม่เหลือแล้ว แต่ละก้าวช่างยากลำบาก ขาก็ตะคริวกินทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขาล้าจนลื่นลงมาอยู่ 2-3 รอบ จนผมคิดว่าไม่ไหวแล้ว ยอมแพ้ ถ้าลื่นไถลตกเขาลงไปนี่ตายแน่ๆ แต่เพื่อนที่ปีนนำขึ้นไปแล้ว เขาก็กระตุ้นให้เราฮึดปีนต่อ ผมเลยพยายามสู้ จนขึ้นไปถึงบนยอดได้ตอน 7 โมงเช้า ไม่ทันตอนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็ได้ทึ่งกับทิวทัศน์บนนั้นที่มันสุดยอดมากๆ เห็นเมืองทั้งเมืองอยู่เบื้องล่าง วิวด้านหน้าเป็นปากปล่องภูเขาไฟพ่นซัลเฟอร์ออกมา ตอนขาลงก็ย้อนกลับทางเดิม ลื่นไถลล้มกลิ้งไปก็หลายครั้ง กว่าจะถึงด้านล่างได้ก็บ่ายโมง ใช้เวลาเดินและปีนทั้งหมดมากกว่า 12 ชั่วโมง พอกลับลงมาได้ผมบอกตัวเองเลยว่าชีวิตนี้ผมจะไม่ทำอะไรที่เสี่ยงขนาดนั้นอีกแล้ว

IMG_9780

ก้าวที่ 9 : ก้าวหน้า

ผมพบว่าการเดินทาง สอนให้ผมเข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่าง เปิดรับ และ เข้าใจโลกนี้มากขึ้น ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ไม่กังวลถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิตมากจนเกินไป เพราะมีหลายสิ่งในชีวิตที่เราสามารถควบคุมได้ เช่น การเรียน หรือ การทำงานของเรา แต่ก็มีอีกมากมายที่อยู่เหนือการควบคุม บางทีเราก็ต้องปล่อยชีวิต ให้เป็นไปตามสิ่งที่มันเป็น การเดินทางคนเดียวทำให้ผมเรียนรู้ว่า สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือการเตรียมตัววางแผนล่วงหน้า แต่ก็ต้องสามารถยืดหยุ่น ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ ที่สำคัญคือต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง หลังจากเดินทางมา 3 ปี ทัศนคติของผมเปลี่ยนไป ผมกลายเป็นคนไม่เครียด ไม่กังวลอะไรมากจนเกินไป แล้ว ชีวิตก็มีความสุขขึ้น

IMG_0137-Edit-2

ก้าวที่ 10: ก้าวต่อไป

ถึงตอนนี้ ผมก็เดินทางไปมาหลายแห่งพอสมควรแล้ว พวกสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ สวยๆ กินเที่ยวแบบผิวเผินก็ถือว่าเดินผ่านจุดนั้นมาแล้วพอสมควร ก้าวต่อไปเลยคิดว่าอยากลองไปกินอยู่ ใช้ชีวิตในวัฒนธรรมอื่นไปเลย ไปรู้จักกับแต่ละท้องถิ่นจริงๆ ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น คิดเล่นๆ (แต่อยากเอาจริง) ไว้นานแล้วว่าอยากลองไปเป็นอาสาสมัครในประเทศต่างๆ ไปช่วยตามกำลัง เท่าที่เราช่วยได้ แล้วไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นไปเลย หรืออีกอย่างที่ผมสนใจ คือการเป็นช่างภาพแบบ on assignment ซึ่งเป็นช่างภาพแนวที่ได้รับมอบหมายโจทย์มา (และตั้งโจทย์ขึ้นเอง) ใช้เวลา 6 เดือน หรือเป็นปีๆ เพื่อศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งแบบเจาะลึก ด้วยการเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง เพื่อนำเรื่องราวกลับมาบอกเล่า เช่น ช่างภาพที่ไปติดตามชีวิตผู้อพยพ ช่างภาพที่ไปติดตามศึกษาชีวิตสัตว์ หรือแม้แต่ช่างภาพสงคราม ผมคิดว่าคนพวกนี้เท่มากที่มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าได้ขนาดนั้น ผมเลยชอบอ่านเรื่องราวของช่างภาพแนวนี้ เช่น Robert Capa หรือ Steve McCurry ซึ่งพวกเขาตีแผ่เรื่องราวเชิงลึกออกมาได้น่าสนใจมากๆ ส่วนตัวผมมองว่า ที่ผ่านมาผมนำเรื่องราวของการเดินทางคนเดียวมาถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รู้กันไปแล้ว ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองทำโปรเจ็คที่ลึกขึ้น สนุกขึ้นกว่านี้อีกในอนาคต


ดูรายละเอียดเกี่ยวกับแบรนด์ ECCO เพิ่มเติมได้ที่
website: ecco.com
facebook: facebook.com/ECCOThailand
instagram: eccoshoes
online store: zalora.co.th/ecco

หรือชมสินค้าได้ที่ ECCO Stores สาขาต่างๆ ดังนี้

  • 3rd Fl., CentralWorld Plaza Tel. 02-252-6224
  • 1st Fl., Mega Bangna Tel. 02-105-1935
  • 2nd Fl., Central Plaza Bangna Tel. 02-361-0834
  • 2nd Fl., Central Festival Chiangmai Tel. 053-288-850
  • 2nd Fl., Central Festival Hatyai Tel. 074-339-785
  • 3rd Fl., Central Festival Pattaya Beach Tel. 038-043-168

Magazine made for you.