ก้าวข้ามความกังวลก่อน Road Trip ครั้งแรกที่อเมริกา
บ่อยครั้งที่ฉากการเดินทางในหนังฮอลลีวูดหลายเรื่อง ทำให้หลายคนจินตนาการภาพตัวเองขับรถ road trip อยู่บน highway ของอเมริกา อาจอยู่ในรถบ้าน RV บ้าง อยู่ในรถวินเทจเปิดประทุนบ้าง แล้วเปิดเพลง Where the Streets Have No Name ให้ดังลั่นรถ (หรือ A Thousand Miles ของ Vanessa Carlton ก็ได้ไม่ว่ากัน) แต่บ่อยครั้งเช่นกันที่บางคนอาจจะยังกังวลอยู่ ว่าการไปขับรถทางไกลบนเส้นทางที่ไม่รู้จักหลายๆ วันในต่างประเทศจะปลอดภัยหรือเปล่า
สำหรับคนที่อยากเริ่มขับรถเที่ยวเอง บอกเลยว่าถ้าคุณเตรียมตัวพร้อมจริงจะไม่มีอะไรยากเลย ยิ่งสมัยนี้เช่ารถง่ายมาก รับรถเมืองนึงไปส่งคืนอีกเมืองนึงก็ได้ ในรถมี GPS ที่สามารถบอกเส้นทางได้แม่นยำ ที่สำคัญถ้าทำประกันภัยการเดินทางไปด้วยจะยิ่งหายห่วง เพราะประกันของบางบริษัทให้ความคุ้มครองเรื่องรถเช่าด้วย และหากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นระหว่างทางเช่น ป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างเดินทาง เราอาจต้องเสียเงินมากกว่าเดิม แต่ถ้ามีประกันภัยการเดินทางก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้ ใน road trip ครั้งนี้เราเลือกทำประกันภัยการเดินทาง Travel Guard ของ AIG เพราะคุ้มครองค่อนข้างครบ มีศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงทั่วโลก แถมยังเป็นองค์กรระดับโลกสัญชาติสหรัฐอเมริกา ประเทศปลายทางที่เราจะไปเยือนในครั้งนี้อีกด้วย
ขอเกริ่นอีกหน่อยว่านี่เป็นทริปแรกที่เราเดินทางโดยทำประกันภัยการเดินทางไปด้วย เนื่องจากมีเหตุซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อประกันในทริปนี้ เดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังต่อไป
เมื่อพร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปแคลิฟอร์เนียกันได้เลย!
สำหรับใครที่อยาก road trip ที่อเมริกา การขับเที่ยวรอบประเทศแบบเก็บครบ 50 จุดหลักในทั้ง 48 รัฐ (ไม่นับอลาสก้ากับฮาวาย) จะกินเวลาประมาณ 2-3 เดือน ถ้าคุณไม่บ้าหรือมีเวลาว่างมากขนาดนั้น แนะนำว่าให้เริ่มด้วยทริปง่ายๆ ที่ใช้เวลาไม่กี่วันก่อน เช่น เส้นทางในรัฐแคลิฟอร์เนีย ที่มีให้เที่ยวตั้งแต่ Pacific Coast Highway กับ Big Sur ในพื้นที่เลียบชายฝั่งแปซิฟิก และอุทยานแห่งชาติ Yosemite กับ Death Valley ทางตะวันออกติดกับรัฐเนวาด้า ส่วนคนที่กลัวการใช้ชีวิตห่างไกลความศิวิไลซ์ ก็มีเมืองใหญ่อย่างซานฟรานซิสโกและลอสแอนเจลิสให้แวะตั้งหลักได้ง่ายๆ
A bit about ‘Frisco’
ซานฟรานซิสโกวันนี้ ยังคงเป็นเมืองแห่งสีสันและเสรีทางความคิดที่อบอุ่นด้วยเสน่ห์ดั้งเดิม ร้านเก่าแก่จากยุคบุกเบิกยังคงเปิดให้บริการ เคียงข้างกับร้านฮิปสเตอร์เกิดใหม่ รถรางที่ให้บริการมานานเกือบ 150 ปี ยังคงวิ่งช้าๆ ขนส่งผู้โดยสาร ในเมืองที่ธุรกิจด้าน IT เติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ความพิเศษจริงๆ ที่ทำให้ซานฟรานซิสโกไม่เหมือนที่ไหนๆ คือบรรยากาศเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติทุกทิศทาง ทั้งทะเล ภูเขา และป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ ที่นี่คนเมืองใช้ชีวิตสนิทกับธรรมชาติ แม้แต่หมอกประจำเมืองซานฟรานซิสโก ยังถูกตั้งชื่อเล่นให้ว่า ‘คาร์ล’
พื้นที่ 7×7 ตารางไมล์ของซานฟรานซิสโกมีอะไรทำบ้าง ?
มาครั้งแรก
Golden Gate Bridge, Golden Gate Park, Fisherman’s Wharf/Pier 39, Lombard Street, Alcatraz Island
ย่านน่าสำรวจ
Mission, Upper และ Lower Haight, NoPA, SoMa, Portrero, Dogpatch, North Beach
*ย่าน Tenderloin ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ คนซานฟรานเขาแนะนำว่าถ้าไม่เชี่ยวให้พยายามหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะเวลากลางคืน
หนังที่ควรดูก่อนไปเที่ยว
Milk, The Rock, Rise of the Planet of the Ape หนังเก่าอย่าง Vertigo, Dirty Harry, Mrs. Doubtfire รวมถึงหนังฮีโร่อย่าง Hulk และ X-Men The Last Stand
Note from us!
เรื่องอาหารการกิน ที่ซานฟรานซิสโกมีให้เลือกหลายแนวหลายเชื้อชาติ แนะนำยังไงก็คงไม่ครอบคลุม แต่มีหนึ่งร้านที่อยากให้ได้ลอง คือร้าน Ghirardelli Chocolate เพราะร้านนี้เป็นร้านช็อคโกแลตประจำเมือง ที่เปิดมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1852 โดยพ่อค้าชาวอิตาเลียนที่อพยพเข้ามาต้ังรกรากที่ซานฟรานซิสโกในยุคตื่นทองเมื่อกว่า 160 ปีก่อน ซึ่งทำให้ Ghirardelli เป็นผู้ผลิตช็อคโกแลตที่ดำเนินกิจการมายาวนานที่สุดในอเมริกา เมนูที่ร้านมีให้เลือกหลายอย่าง แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือ sea salt caramel กับ classic hot chocolate
ทริปนี้เราจัดเส้นทางเป็นวงกลม ตั้งต้นที่ซานฟรานซิสโก แล้วมุ่งหน้าทิศตะวันออกไปอุทยานแห่งชาติ Yosemite ต่อด้วยอุทยานแห่งชาติ Kings Canyon ที่อยู่ถัดลงมาทางใต้ในเขตเดียวกัน แล้วลงต่อไปเที่ยวลอสแอนเจลิส ก่อนจะวกกลับขึ้นมาจบที่ซานฟราน ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ แค่ขับออกนอกเมืองซานฟรานซิสโกมาไม่เท่าไหร่ ก็เจอกับบรรยากาศแห้งแล้งเหมือนอยู่ดาวอังคาร
จากที่แห้งมาตลอดทางกว่า 4 ชั่วโมง พอมาถึงอุทยานแห่งชาติ Yosemite ก็เหมือนมาเจอโอเอซิสเขียวชอุ่มอยู่กลางทะเลทราย ช่วงที่เราเดินทางมาเป็นช่วงปลายฤดูร้อนย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่คนยังมาเที่ยวกันเยอะเพราะยังไม่หนาวจนเกินไป เลยได้เจอคนหลากหลายระหว่างทางที่มุ่งหน้ามา Yosemite Valley คนที่นี่นิยมเช่ารถ muscle car มาขับเที่ยวกัน ตลอดทางเจอ Mustang กับ Camaro หลายคัน ซึ่งน่าแปลกตรงที่คนที่ขับรถแรงเหล่านี้ เป็นคุณตาคุณยายผมขาวทั้งนั้น อีกกลุ่มที่เจอเยอะคือแก๊งค์ซิ่งรุ่นใหญ่เครายาวเหมือนหลุดออกมาจากในหนัง นอกจากนี้ยังมีพวกที่ขับรถบ้าน RV กันมาเป็นครอบครัวอีกเพียบ
ปกติเวลาเที่ยวเรามักจะทิ้งสัมภาระทุกอย่างไว้ที่โรงแรม แต่ทริปนี้ต้องหอบทุกอย่างติดตัวไปด้วยตลอด ถึงจะมีรถส่วนตัวก็ยังแอบกลัวอยู่ดี
เหตุผลที่เราทำประกันภัยการเดินทาง เพราะ road trip ครั้งก่อนหน้านี้ของเราที่เยอรมัน เราถูกกระชากกระเป๋าที่เบอร์ลิน (เขต Kreuzburg ใครไปดึกๆ ควรระวัง ผู้อพยพและแก๊งค์ค้ายาเยอะ) โชคดีที่ตอนนั้นมีแค่กระเป๋าสตางค์ติดตัว แต่เงินในกระเป๋าที่เสียไป เทียบแล้วมากกว่าค่าประกันภัยการเดินทางทริปนี้หลายเท่า เรามารู้ทีหลังว่า Travel Guard ก็มีความคุ้มครองเรื่องการสูญหายของเงินสดและทรัพย์สินส่วนตัวอย่างถ้าโดนกระชากกระเป๋าแล้วไปแจ้งความตำรวจ ณ วันที่เกิดเหตุ จะคอมพิวเตอร์ กล้อง หรือเอกสารสำคัญ พาสปอร์ต อะไรก็เคลมได้หมด รู้อะไรไม่สู้ “รู้งี้” ดังนั้นทริปนี้เราจึงไม่ยอมพลาดอีกแล้ว
บอกเลยว่าโดนกระชากกระเป๋าครั้งนี้เจ็บใจกว่าโดนล้วงกระเป๋ามาก เพราะเจอกันซึ่งๆ หน้าแต่ทำอะไรไม่ได้ เสี่ยงอันตราย แถมยังต้องเสียเวลาไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก หมดสนุกไปหลายวัน ขาดทุนทั้งเงินทั้งความรู้สึก
ที่นี่เหมาะสำหรับคนที่รักธรรมชาติ ชอบถ่ายภาพ ส่องสัตว์ ตั้งแคมป์ เดินป่า ปีนเขา ระบบการจัดการอุทยานที่นี่ดีมาก พักได้ตั้งแแต่กางเต๊นท์ นำรถ RV ของตัวเองมาจอดแคมป์ (เป็นที่นิยมมาก) ไปจนถึงพักในโรงแรมไฮโซของทางอุทยาน หรือพิเศษกว่านั้นคือจ่ายคืนละเป็นหมื่นเพื่อพักที่ The Ahwahnee โรงแรมประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นแห่งดั้งเดิมที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคบุกเบิกอุทยานเมื่อร้อยกว่าปีก่อน การจะมาพักที่ Yosemite ไม่ว่าจะแบบไหนต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือน หลายคนจองล่วงหน้ากันเป็นปี แต่ถ้าจองไม่ทันจริงๆ เมืองรอบนอกก่อนถึงอุทยานประมาณ 30 นาทีก็มีที่พักให้บริการ ส่วนค่าเข้าอุทยานสำหรับรถยนต์ส่วนตัวอยู่ที่ $30 ต่อคันต่อสัปดาห์
อุทยานแห่งชาติ Yosemite อยู่ในเทือกเขา Sierra Nevada เป็นพื้นที่มรดกโลกและเป็นเขตสงวนแห่งแรกๆ ของสหรัฐอเมริกามานานกว่า 125 ปีแล้ว และล่าสุดเพิ่งกลับมามีชื่อเสียงไปทั่วโลกอีกครั้งเมื่อต้นปี 2015 หลังจากมีนักปีนผามือเปล่า free climb แบบไร้อุปกรณ์ป้องกันขึ้นไปพิชิต El Capitan ผาหินแกรนิตยักษ์หนึ่งในสัญลักษณ์ของอุทยานคู่กับ Half Dome
ที่นี่มี trail ให้เลือกเดินได้หลายเส้นทาง ทั้งทางคนทางม้า ทั้งแบบไม่กี่ชั่วโมงจบอย่าง Lower Yosemite Fall Trail และแบบเดินข้ามป่าเป็นเดือน อย่าง John Muir Trail ระยะทาง 338.6 กม. เส้นทางสำหรับคนรักธรรมชาติแบบฮาร์ดคอร์ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์เดียวกับ John Muir นักธรรมชาติวิทยาผู้บุกเบิกอุทยานและเส้นทางนี้เป็นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1908 แต่ละเส้นทางจะมีการจัดระดับความยากเอาไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวประเมินกำลังได้ ส่วน trail ที่เราเลือกเดินคือเส้นทางขึ้นไปจุดชมวิวบน Glacier Point ที่จะสามารถเห็นทัศนียภาพของ Half Dome และ El Capitan ได้อย่างเต็มตา เส้นทางนี้ใช้เวลารวมขึ้นลงประมาณ 8 ชั่วโมง ใครที่ไม่มีเวลาสามารถโกงด้วยการนั่งบัสของอุทยานขึ้นไปได้ ในรถมีการบรรยายประวัติอุทยานให้ฟังด้วย
ถึงระบบการจัดการของอุทยานจะทำได้ดี แต่ด้วยความที่อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติจึงไม่มีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลอำนวยความสะดวกหรือรักษาความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว จะมีก็แต่เพียงประกาศให้ระวังหมีและแจ้งเตือนรอบรถรับส่ง เพราะหากพลาดรถรอบสุดท้าย นั่นหมายถึงนักท่องเที่ยวต้องเดินเท้ากลับเอง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงกลายป่าในความมืด
แน่นอนว่าก่อนจะมาที่นี่ เราหาข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอุทยานแห่งชาติ Yosemite และ Kings Canyon มาก่อนล่วงหน้า ถึงที่นี่จะไม่ค่อยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบ่อยนัก แต่ก็มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 5-6 รายต่อปี ส่วนใหญ่มาจากอุบัติเหตุทางน้ำกับอุบัติเหตุรถยนต์ รวมถึงการตกหน้าผาซึ่งจากความเลินเล่อของนักท่องเที่ยวเองที่ฝ่าฝืนกฎ แต่ที่ซวยโดนต้นไม้โค่นทับเสียชีวิตก็เคยมีเหมือนกัน ตรงนี้ถ้าเราเกิดซวยขึ้นมาจริงๆ เราก็มี Travel Guard ดูแลเราตลอดการเดินทาง ถ้าต้องเข้าโรงพยาบาลที่ต่างประเทศประกันก็จ่าย หรือหากแพทย์สั่งให้ต้องเข้ารักษาต่อเนื่องที่ไทยก็เคลมได้เช่นกัน
หลังจาก Yosemite เราขับต่อไปที่ Kings Canyon National Park อุทยานแห่งชาติอีกแห่งในเขตเทือกเขา Sierra Nevada แห่งเดียวกัน นอกจากอุทยานนี้จะมีเส้นทางเดินป่า ภูเขา ทะเลสาบให้เต็มอิ่มกับธรรมชาติแล้ว Kings Canyon ยังเป็นป่าที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก นั่นก็คือต้น Redwood และ Sequoia ยักษ์
ต้น Sequoia ยักษ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดมีชื่อว่า General Grant และ General Sherman ทั้ง 2 ต้นอายุมากกว่า 2,000 ปีและถือเป็นต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่สูงถึง 81.5 เมตรและ 83.3 เมตรตามลำดับ สูงเกือบเท่าเทพีเสรีภาพ เทียบได้เท่าตึก 27 ชั้น ใหญ่กว่าปลาวาฬสีน้ำเงินและไดโนเสาร์ เชื่อว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มาสัมผัสของจริงตรงหน้า ก็คงต้องทึ่งกับความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ และเชื่อว่าถ้าใครได้รู้ว่า ต้นที่เคยใหญ่ที่สุดจริงๆ ที่ชื่อ General Noble Tree ซึ่งมีอายุมากกว่า 3,200 ปี เคยถูกตัดไปจัดแสดงที่งาน Chicago World’s Fair ปี 1893 ก็คงต้องทึ่งกับความโง่เขลาของมนุษยชาติจริงๆ
จบจากเที่ยวธรรมชาติ ขับลงใต้ต่อมาประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็จะถึงลอสแอนเจลิส จังหวัดพิเศษของประเทศไทยที่มีเพื่อนร่วมชาติของเรามาตั้งรกรากอยู่มากมาย บรรยากาศของแอลเอต่างกับซานฟรานโดยสิ้นเชิง ซานฟรานเป็นเมืองบนเนินเขา แอลเอเป็นแอ่งราบ บ้านเรือนในซานฟรานมักจะเป็นแนวสูง 2-3 ชั้นสร้างติดกันสีสันสดใสเหมือนยุโรป บ้านในแอลเอมักจะเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวแบนๆ เราเลือกไปเที่ยวที่ LACMA (Los Angeles County Museum of Art) และ The Getty Center เพื่อพักจากการขับรถ สลับมาชมนิทรรศการศิลปะบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ซึ่งถือว่าแจ็กพ็อตเพราะที่ LACMA กำลังมีนิทรรศการ Guillermo del Toro: At Home with Monsters ที่ยกบ้านสุดเพี้ยนของจริงของผู้กำกับที่เราชอบมาให้ชมกันพอดี
แอลเอเหมาะจะใช้เป็นฐานพักเพื่อเดินทางต่อไปเส้นทางต่างๆ เช่น ไปลาสเวกัสกับแกรนด์แคนยอนทางตะวันออก หรือลงใต้ไปสัมผัสกลิ่นอายของเม็กซิโกที่ติฮัวน่า ส่วนเส้นทางของเราคือการขึ้นเหนือกลับไปที่ซานฟรานซิสโก ระหว่างทางเราแวะพักที่ Carmel-by-the-Sea เมืองตากอากาศที่มีความคล้ายหัวหิน ที่นี่เป็นเมืองเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ในยุค Gold Rush ที่คนมาขุดทองกัน ร้านอาหารดังของเมืองนี้ก็เปิดมาแล้วเป็นร้อยปี เป็นอีกหนึ่งที่ที่ทุกคนต้องแวะหาอะไรทานกัน จากนั้นเราก็ขับต่อไปที่ Half Moon Bay ทางเลียบทะเลที่คนซานฟรานชอบมาพักผ่อนทำกิจกรรม เล่นเสิร์ฟกัน จูงหมา ขี่ม้า ทำบาร์บีคิวกันในช่วงวันหยุด เพราะอยู่ห่างจากตัวเมืองซานฟรานเพียงไม่ถึงชั่วโมง หลักจากพักกินลมรับแดดซักพัก เราก็มุ่งหน้าสู่ปลายทางสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับสู่ประเทศไทย
วิธีก้าวข้ามความกังวลก่อน road trip ไม่ใช่อะไรที่ยากเลย แค่เตรียมตัวให้พร้อมและทำประกันภัยการเดินทางก่อนไปเที่ยวเท่านั้นเอง นอกจากเรื่องใหญ่ๆ อย่างการป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุ Travel Guard ยังคุ้มครองรวมไปถึงเรื่องเล็กๆ น้อยรอบตัวอื่นๆ ตั้งแต่ค่าโทรศัพท์ฉุกเฉิน ไปจนถึงจ่ายเงินให้เราไปซื้อของใช้ส่วนตัวในกรณีที่กระเป่าเดินทางมาถึงล่าช้า หรือหากเกิดเหตุฉุกเฉินพ่อแม่ป่วยหนักเราต้องเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทางเราก็ยังได้รับเงินที่จ่ายค่าตั๋ว ค่าที่พักไปแล้วคืนได้อีก เรียกได้ว่าคุ้มครองตั้งแต่ยังไม่ออกเดินทางจนจบทริปให้เราได้กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพจริงๆ
สำหรับใครที่สนใจประกันภัยการเดินทาง Travel Guard ของ AIG สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมหรือซื้อผ่าน online ได้ง่ายๆที่เว็บไซต์ www.aig.co.th/personal/travel-guard-insurance/travel-guard-international ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือโทร Call Center +66 2649 1999