ล่องลอยสู่ดินแดนมหัศจรรย์ Wonderfruit 2015 เทศกาลไลฟ์สไตล์ที่คนรักศิลปะและดนตรีควรไปสักครั้ง!
คงจะไม่มีเทศกาลไหน ที่บทเพลง “หนุ่มน้อย” ของพี่ปู พงษ์สิทธิ์ คําภีร์ กับ “23” ของ Blonde Redhead จะถูกบรรเลงบนเวทีเดียวกัน ดีเจเปิดแนว Tech House คลอคู่เพลงหมอลำ คนกินอาหารคลีน โยคะ นั่งสมาธิช่วงกลางวัน แต่กินดื่มสังสรรค์กันอย่างบ้าคลั่งช่วงกลางคืน ถ้าไม่ใช่ที่ Wonderfruit
เทศกาล Wonderfruit ปีนี้ยังคงเต็มไปด้วยสีสัน และเป็นมากกว่าเทศกาลศิลปะและดนตรีทั่วๆ ไปเช่นเคย บรรยากาศเมื่อลอดซุ้มสุ่มไก่ทางเข้าหลักมาในบริเวณงาน อาจทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวต่างประเทศช่วงสั้นๆ เพราะชาวเทศกาลกว่าครึ่งเป็นคนต่างชาติ ทั้งที่อาศัยอยู่บ้านเราและที่เดินทางไกลมาจากต่างประเทศ รวมถึงชาวกรุงที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศจากชีวิตเมืองที่แสนจะน่าเบื่อ มานอนกลางดินกินกลางทราย สัมผัสสายลมแสงแดด ออกค่ายสังสรรค์กันกลางทุ่งกับเสียงดนตรีและศิลปะในช่วงสุดสัปดาห์
“หากคุณรู้ตัวว่าคืนนี้จะปาร์ตี้ยันเช้า ขาคุณจะต้องทำงานหนัก ดังนั้นคุณจะต้องบริหารร่างกายให้ถูกวิธีก่อน”
โยคีหญิงบนเวที Solar Stage กล่าวขณะนำวอร์มให้ผู้ร่วมกิจกรรมโยคะประกอบแสงสีและดนตรี Dub & Bass ยามอาทิตย์อัสดง เพื่อเตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับค่ำคืนอันบ้าคลั่ง ฟังดูเป็นประโยคขัดแย้งแปลกๆ สำหรับบางคนที่อาจยังไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศการปาร์ตี้แบบนี้ โดยเฉพาะนักเที่ยวสายแข็งบ้านเราที่ถือเอาเมรัยเป็นสรณะ แต่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมากระแส “การสังสรรค์เพื่อสุขภาพ” wellness clubbing หรือที่บางคนเรียกว่า sober party กำลังเป็นที่นิยมทางตะวันตก ปาร์ตี้น้ำเปล่าที่คนมาพบปะพูดคุย โยคะเพื่อสุขภาพและเพลิดเพลินไปกับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อาจฟังดูเป็นกิจกรรมที่กระแดะและเสแสร้งสำหรับบางคน แต่ในเชิงการท่องเที่ยว กิจกรรมนี้ถูกบรรจุเข้าไปในการบริการของเครือโรงแรม 5 ดาวระดับโลกหลายแห่ง เนื่องจากตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (wellness tourism) รูปแบบใหม่ๆ กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก บางเมืองในสหรัฐอเมริกาเริ่มมีสปากัญชาเพื่อสุขภาพกันแล้ว และเทศกาล Wonderfruit ก็ได้นำเอากลิ่นอายของวัฒนธรรมบุปผาชนแห่งศตวรรษที่ 21 มาเปิดโลกให้บ้านเราได้สัมผัสกัน 3 คืน 4 วันในรูปแบบ hippie glamping ที่ผสมผสานศิลปะ ดนตรี และไลฟ์สไตล์หรูหราติดดิน
ถึงแม้เสียงเพลงจะครอบคลุมพื้นที่แทบทุกตารางนิ้วของงาน แต่เทศกาลนี้ก็ไม่เชิงว่าเป็นเทศกาลดนตรีเสียทีเดียว จุดประสงค์ที่แท้จริงดูเหมือนจะเน้นที่การทำกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์และใช้ชีวิตร่วมกันมากกว่าแค่เป็นการนัดรวมตัวกินดื่มครั้งใหญ่ ในช่วงกลางวันชาวเทศกาลที่ร่างยังไม่พังกระจายตัวกันทำกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่นั่งสมาธิ ฝึกโยคะ ควงไฟ และศิลปะป้องกันตัว บ้างก็ปั่นจักรยาน บ้างก็ว่ายน้ำเล่น บ้างก็นอนอ่านหนังสือใต้ร่มไม้ ส่วนพวกที่มาเป็นครอบครัว ก็มีโยคะเด็ก ดิสโก้เด็ก และมีกระทั่งโชว์เจ้าขุนทองในโซน Camp Wonder
ในงานยังมีเวทีเสวนาและเวิร์คช็อปต่างๆ อย่างเช่น งานคราฟท์แบบไทย 4 ภาค ที่พาวิลเลี่ยน #SharingNeighborhood by SC ASSET ที่เชิญกูรูมาร่วมแบ่งปันความรู้และวัฒนธรรมท้องถิ่น สอนทำว่าวพระจันทร์ ถักเปลญวนชุมแสง ผ้าย้อมคราม และงานแกะสลักไม้ ซึ่งชาวต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก พาลูกๆ มาเข้าร่วมกิจกรรมเต็มตลอดจนหลายคนต้องมาลงชื่อเป็น waiting list บรรยากาศที่เด็กๆ ต่างชาติกำลังขะมักเขม้นหัดงานฝีมือท้องถิ่นของไทยเป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆ ว่าวพระจันทร์ศิลปะจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คนไทยหลายคนอาจไม่เคยรู้จัก ถูกชักขึ้นฟ้าโดยชาวต่างชาติอย่างสนุกสนาน คนถักเปลญวนเสร็จก็เอาไปแขวนนอนตามต้นไม้ นอกจากนี้ก่อนจะจบงานยังมีมินิคอนเสิร์ตจากวิน ศิริวงศ์ Sqweez Animal ที่มาร่วมแบ่งปันเสียงดนตรีอย่างเป็นกันเองอีกด้วย
ความรู้สึกที่พาวิลเลี่ยนแห่งนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของความเป็นชุมชน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ละคนต่างภาษา มาจากคนละประเทศจากหลากหลายทวีป แต่ทุกคนก็ได้มามีสังคมเล็กๆ ร่วมกัน ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ร่วมกันมากกว่าแค่ปาร์ตี้ให้ร่างพังไปวันๆ แม้แต่คนที่ไม่ได้ร่วมเวิร์คช็อปยังหลบร้อนมานอนเอกเขนกตั้งวงคุยกันใต้ร่มเงาของพาวิลเลี่ยนไม้ไผ่แห่งนี้
กิจกรรมที่น่าประทับใจที่สุด คือมีคู่รักชาวต่างชาติมาจัดงานแต่งงานกันที่พาวิลเลี่ยน #SharingNeighborhood by SC ASSET เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วทั้งคู่ได้รู้จักและพบรักกันที่งานนี้ จึงอยากกลับมาจัดงานแต่งกันที่นี่ งานบรรยากาศน่ารักและเป็นกันเอง บ่าวสาวเท้าเปล่าเปิดฟลอร์เต้นสวิงกับเพื่อนๆ หลังจากนั้นคนในเทศกาลที่มาร่วมแสดงความยินดี ก็ยืนตั้งแถวต้อนรับบ่าวสาวด้วยการถือไฟเย็นเรียงกันเป็นประกายไฟสวยงาม เรียกได้ว่าเป็นการแบ่งปันความสุขที่อบอุ่นหัวใจจริงๆ
การแต่งองค์ทรงเครื่องถือเป็นหัวใจของเทศกาลนี้ เห็นได้ชัดจากบริเวณยอดนิยมอย่าง Taste of Wonder กับ Wonder Salon ที่คนเข้าไปช็อปเสื้อผ้าและแต่งหน้าทำผมกันจนแน่นเต๊นท์แทบจะตลอดวันเพื่อแปลงกายเป็นฮิปปี้ชั่วคราว key piece ประจำชุมชนแห่งที่ราบลูกฟูกเมืองพัทยาแห่งนี้ ดูเหมือนจะเป็น กิโมโน ขนนก ดอกไม้ ผ้าลายมัดย้อม เสื้อยิปซีครอปเปิดไหล่ หรืออะไรก็ตามที่ Kendall Jenner ใส่ไป Coachella ที่เทศกาลนี้ใครจะเป็นอะไรก็ได้ ทำให้การเดินดูผู้คนถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมบันเทิงเมื่ออยู่ที่นี่ ผู้ชายผมไถเกรียนในกางเกงรัดรูปอาจจะเป็นนักกฎหมาย ผู้หญิงใส่บิกินี่ปีนเสาอาจจะเป็นครู เราไม่รู้ว่าในชีวิตประจำวันคนเหล่านี้เป็นใคร และไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แม้จิตวิญญาณแหกคอกดั้งเดิมจะถูกโอนถ่ายมาอยู่ในวัตถุ และประโยค Turn on, tune in, drop out อาจไม่มีความหมายสำหรับคนยุคนี้แล้ว แต่การได้เปิดใจลองทำสิ่งใหม่ๆ แต่งตัวในธีมที่ไม่เคยก็เป็นอะไรที่สนุกเสมอ อย่างน้อยหลายคนก็ได้มีภาพเซลฟี่ดีๆในบรรยากาศสวยๆ กลับไปเป็นที่ระลึกกัน
อาหารภายในงานมีให้เลือกจากหลากหลายเชื้อชาติ เรียกได้ว่ากินดีอยู่ดีประหนึ่งยกทองหล่อทั้งซอยมาตั้งเป็นโอเอซิสอยู่กลางทะเลทราย เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนเมืองทั้งหลายจะไม่อดตายแน่นอน เพราะนี่คือเทศกาลที่คุณสามารถตื่นมาจิบกาแฟคราฟท์ รับประทานกูร์เมต์เบอร์เกอร์ ดื่มน้ำผัก ทานอาหารออร์แกนิค วีแกน กลูเตนฟรี จากวัตถุดิบธรรมชาติที่สดใหม่ แล้วตบท้ายด้วยแอลกอฮอล์หลายขนานเพื่อปรับหยินหยางในร่างกายให้สมดุล อาหารที่เรายกให้เป็นอันดับหนึ่ง คือสุดยอด mac n’ cheese ของร้าน Bears Kitchen ที่ถึงแม้ร้านจะเป็นร้านเล็กๆ ที่หันหลังให้ซอยหลัก แต่ก็มีคนต่อคิวรอทานกันตลอด ฝรั่งแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งเป็นคนแนะนำให้เรามาลองบอกว่าเขาทานร้านนี้มา 3 วันติดแล้ว เราจึงตามคำชี้แนะมาอย่างว่าง่าย และพบว่าอร่อยเหาะจริงๆ
ในส่วนของ line up ทางเทศกาลเลือกวงดนตรีและดีเจทั้งไทยและเทศมาค่อนข้างน่าสนใจ น่าเสียดายที่ยังขาดวงชูโรงดีๆ ที่สามารถเป็นแม่เหล็กดูดคอดนตรีมาได้มากกว่านี้ วง The Faint, Blonde Redhead และหน้าใหม่อย่าง RHYE ที่หลายคนมารอฟังแสดงได้ดีสมกับที่ตั้งตารอ Rajastan Roots วงโฟล์คจากรัฐราชสถาน อินเดีย ก็สร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้ไม่น้อยด้วยเสียงร้องอันทรงพลังและท่วงทำนองดนตรีพื้นบ้านที่ไพเราะ ส่วนวงอิเล็กทรอนิกส์ไทยอย่าง Kidnappers ก็เล่นได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้วงเมืองนอกเลย และที่ไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ คือ พี่ปู พงษ์สิทธิ์ คําภีร์ ที่ได้ใจทุกคนไปเต็มๆ แม้กว่ากลุ่มผู้ชมจะต่างจากแฟนกลุ่มหลักของพี่ปูก็ตาม ส่วนโชว์ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจได้มากที่สุดต้องยกให้ Jon Hopkins x Chris Levine present the iy_project ที่ยิงเลเซอร์สร้างเสียงสีแสงกลางฟ้าจนเหล่ามนุษย์ปาร์ตี้ทั้งหลายได้ล่องลอยกันไปไกล ก่อนจะไปนิพพานกันที่ The Quarry ปาร์ตี้ลึกลับท้ายงานกันจนฟ้าสว่าง
ครั้งที่ 2 ของ Wonderfruit ถึงแม้จะคนบางตาไปบ้างในบางวัน แต่ก็ได้รับคำชมว่าพัฒนาขึ้นจากปีที่แล้วพอสมควรเลยทีเดียว ในด้านของความสร้างสรรค์และบรรยากาศของงานทำได้สวยงามไม่เหมือนที่ไหนๆ เช่นเคย หลายคนตั้งตารอเทศกาลปีหน้าว่าจะออกมาในรูปแบบใด ความเห็นส่วนใหญ่ของคนฟังเพลงตั้งความหวังไว้ว่าจะได้เห็นวงดนตรีและดีเจเบอร์ใหญ่ที่น่าสนใจมากขึ้น และจำนวนมากขึ้นอีก กระเถิบจากความเป็นเทศกาล hippie glamping ขึ้นมาเป็น Art & Music destination หลักของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อว่าเทศกาลดีๆ แบบนี้จะต้องกลับมาพร้อมกับเซอร์ไพรซ์ในปีหน้าอย่างแน่นอน
Photography by Danaya Bunnag | Isara Uthaichalanond